วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ตั้งสติก่อนสตาร์ท" 7 ข้อควรรู้ก่อนสตาร์ทรถเพื่อความปลอดภัย

       แม้ไม่บ่อยครั้งที่มีข่าวรถพุ่งตกจากอาคารจอดรถ หรือพุ่งไปชนเสาไฟขณะเพิ่งสตาร์ทรถ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน เราจึงควรมีวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ดังนี้



1. นั่งหลังพวงมาลัยให้พร้อมก่อน
มีคนขับรถจำนวนไม่น้อยที่ประมาทข้อนี้ โดยยืนด้านนอกรถแล้วเอื้อมมือมาสตาร์ทรถ ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก เปรียบเสมือนการไม่ตรวจเช็คสิ่งใดเลย หากมีอะไรอยู่ตำแหน่งผิดปกติ รถอาจจะเคลื่อนออกไปเกิดอุบัติเหตุได้ทันที ดังนั้นจึงควรเข้าไปนั่งและคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อน


2. เช็คเบรคมือเพื่อความปลอดภัย
การดึงเบรคมือหลังจอดรถทุกครั้งเป็นสิ่งที่ควรทำ (ยกเว้นจอดขวางรถคันอื่น) เพื่อป้องกันรถไหล หรือหากมีรถมาชนขณะคุณไม่อยู่ จะช่วยลดความเสียหายกับเกียร์ได้ ขณะเดียวกันการดึงเบรคมือไว้ก่อนสตาร์ท หากรถเคลื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ เบรคจะช่วยได้เป็นอย่างดี


3. ตรวจสอบตำแหน่งเกียร์
การสตาร์ทรถที่ถูกต้องที่สุด เกียร์ต้องอยู่ในตำแหน่งจอดตัว P (Parking) ซึ่งจะทำให้รถหยุดอยู่กับที่ แต่รถเกียร์ธรรมดาจะอยู่ในตำแหน่งว่างตัว N (Neutral) ซึ่งรถยังสามารถเคลื่อนหรือไหลได้ จึงต้องใช้เบรคมือช่วย ส่วนตำแหน่งที่ไม่ควรอยู่ขณะสตาร์ทรถ คือ D (Drive) หรือเกียร์ขับเคลื่อนอื่นๆ 1 -7 เพราะจะอันตรายอย่างยิ่ง รถอาจจะพุ่งออกไปได้ แต่รถสมัยใหม่จะมีระบบป้องกันไม่ให้สตาร์ท


4. เปิด Switch on เช็คไฟเตือนหน้าปัดรถ
สำหรับรถที่ใช้กุญแจ ให้บิด 1 จังหวะ ส่วนรถที่ใช้ปุ่มกด(Push Start) ให้กด 1 ครั้งโดยไม่ต้องเหยียบเบรค ไฟเตือนต่างๆจะแสดงบนหน้าปัด และควรให้ไฟทั้งหมดดับลงก่อนจะสตาร์ทรถ ซึ่งตามปกติไฟสีเหลืองจะเป็นการเตือนทั่วไป เช่น เตือนระดับน้ำมันเครื่อง เตือนระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ เตือนแบตเตอร์รี่ และเซ็นเซอร์ต่างๆ ส่วนไฟสีแดงจะเป็นการเตือนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ หากไม่ดับจึงยังไม่ควรออกรถ เช่น ประตูปิดไม่สนิท เบรคมือยังดึงค้างไว้ เป็นต้น


5. เหยียบเบรคทุกครั้งก่อนสตาร์ทรถ
หากเป็นรถที่ใช้ปุ่มกดสตาร์ท(Push Start) จะถูกบังคับให้เหยียบเบรคก่อนเสมอ แต่ถ้ารถที่ใช้กุญแจต้องจำไว้เสมอว่า ควรเหยียบเบรคก่อนสตาร์ททุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญเป็นการเช็คไปในตัวว่า มีอะไรไปขัดแป้นเบรคหรือคันเร่งคุณอยู่หรือไม่


6. เปิดแอร์-เปิดเครื่องเสียง ขณะสตาร์ท รถพังหรือไม่?
คำตอบ คือ "ไม่พังครับ" สามารถสตาร์ทได้ปกติ แต่เหตุผลที่ควรปิดให้หมดก่อน เพราะว่าระบบ 2 ส่วนนี้จะแย่งไฟฟ้าภายในจากแบตเตอร์รี่ขณะสตาร์ทรถ อาจทำให้สตาร์ทยากขึ้น หรืออุปกรณ์บางตัวอายุสั้นลง ดังนั้นจึง "ควรปิด" ครับ แต่รถราคาแพงบางยี่ห้อ อาจจะมีอุปกรณ์ป้องกันช่วยครับ


7. สตาร์ทแช่ยาว จะพังหรือไม่?
พังแน่นอนครับ หากคุณสตาร์ทติดยากหรือไม่ติด ควรหลีกเลี่ยงการสตาร์ทแช่ยาวเกิน 10-15 วินาที โดยเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้ไดสตาร์ทเสียหายได้ นอกจากนี้ยังควรต้องเว้นระยะห่างในการสตาร์ทครั้งต่อไปอีกเล็กน้อยด้วย


รู้เช่นนี้แล้ว อย่าลืมปฏิบัติทุกครั้งก่อนสตาร์ทรถนะครับ แค่ 7 ข้อ ใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาที เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองครับ

อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

โหวตเลย! "จะทำอะไร ไปไหน เอายังไง" ตั้งโหวตได้ใน LINE Group


โหวต (Vote)
ฟีเจอร์ประชาธิปไตยในไลน์กลุ่ม ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลาเถียงกัน หรือเสียเวลานับความคิดเห็นว่าใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ว่าแล้วอย่ารอช้า อัพเดทแอปพลิเคชั่นไลน์เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้



1. เข้าไลน์กลุ่มที่คุณต้องการ



2. กดเครื่องหมายบวก(+) ด้านซ้ายของแถบพิมพ์ข้อความ จากนั้นเลื่อนลงมา กดเลือกโหวต




3. การตั้งคำถามสำหรับการโหวต มี 2 แบบให้เลือกตรงแถบด้านบน


- แบบข้อความ มักเป็นการขอความเห็นทั่วไป เช่น หน้าร้อนนี้ไปเที่ยวทะเลหรือภูเขาดีกว่ากัน? ศุกร์นี้สะดวกร้านเดิมไหม?


- แบบวันที่ มักเป็นการขอความเห็นให้เลือกวันที่สะดวก เช่น  เดือนหน้าจะนัดประชุมวาระพิเศษใครสะดวกวันพุธหรือพฤหัสบดี? สัปดาห์นี้นัดทานข้าวกันหน่อยใครว่างวันไหน?



4. การใส่ตัวเลือก และสามารถกดปุ่มด้านขวาเพื่อแนบภาพประกอบได้



5. ตัวเลือกเสริม:

- หากต้องการจำกัดเวลา สามารถเลือกวันที่ปิดโหวตได้

- หากตัวเลือกคุณหลากหลาย สามารถตั้งให้โหวตแบบหลายข้อได้

- หากการขอความเห็นของคุณต้องการปกป้องสิทธิส่วนบุคคล สามารถตั้งโหวตแบบไม่แสดงชื่อผู้โหวตได้


เมื่อคุณกดสร้างโหวตเสร็จแล้ว ทุกคนในกลุ่มจะได้รับการแจ้งให้เข้าร่วมโหวต ซึ่งสามารถดูผลการลงคะแนนแบบเรียลไทม์ได้ทัน เพียงเท่านี้การระดมความเห็นก็ทำได้ภายในไลน์กลุ่มของคุณครับ



อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

วิธี “เรียกเพื่อนในไลน์กลุ่ม” ด้วยการ Mention แท็กชื่อ

เชื่อว่าแอปพลิเคชั่น LINE ของแต่ละคนคงมีกลุ่มไลน์ไม่ต่ำกว่า 10 – 50 กลุ่ม ทั้งกลุ่มงาน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ สังสรรค์ ฯลฯ ครั้นจะมีใครเรียกเรา หรือเราไปเรียกใคร บางครั้งก็พบปัญหากว่าจะรู้ตัว บทสนทนาที่ต้องการขณะนั้นก็ถูกข้ามไปแล้ว LINE จึงปล่อยฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชั่น 7.1.0 ที่ผู้ใช้งานสามารถแท็กชื่อเพื่อน(Mention) ในห้องแชทกลุ่มได้ ว่าแล้วเลือกกลุ่มที่ต้องการ แล้วทำตามขั้นตอนนี้เลยครับ




1.แตะชื่อของคนที่ต้องการพูดถึง ไม่ใช่แตะที่รูปโปรไฟล์นะครับ มิเช่นนั้นจะเป็นการดูรูปโปรไฟล์



2.ในช่องพิมพ์ข้อความจะขึ้นชื่อของบุคคลที่คุณแท็ก คุณสามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการต่อได้เลย 




3.สำหรับคนที่ถูกแท็กขื่อ จะมีข้อความแจ้งเตือน ตั้งแต่แถบ Notification และหน้ารวม Chat ครับ




เพียงเท่านี้การแชทในไลน์กลุ่มก็ลดความสับสนลงได้อีกเลยเยอะ เปรียบเสมือนการเรียกชื่อให้มาอ่านนั่นแหละครับ แต่เป็นการเรียกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ไว้โอกาสหน้าจะมาแนะนำเทคนิคเล็กๆแบบนี้อีกนะครับ


อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำบุญ 4 ประเภท ที่อาจสร้างบาปแทน

      จากการสูญเสีย "ออมสิน" เต่าตนุเพศเมียอายุ 25 ปี ที่ชาวบ้าน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พามาให้กองทัพเรือและศูนย์วิจัยสัตว์น้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วยเหลือ หลังจากกลืนเหรียญที่มีผู้โยนทำบุญสะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อภายในบ่อเต่าที่ปิดกิจการไปแล้ว วันนี้จะพาทุกท่านรู้จากการทำบุญที่อาจกลายเป็นการสร้างบาปโดยที่คุณไม่รู้ตัว



1. การโยนเหรียญลงบ่อน้ำ
          พบเห็นได้บ่อยภายในวัด มักเป็นการโยนเหรียญเพื่อให้ไปตกหรือค้างจุดใดจุดหนึ่ง เช่น พระพุทธรูป รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ซึ่งถ้าโยนสำเร็จจะมีความเชื่อว่าสมปรารถนา แต่ถ้าไม่สำเร็จเหรียญก็จะตกลงบ่อน้ำไป แต่หารู้ไม่ว่า ภายในบ่อน้ำเหล่านั้น มักมีสัตว์อาศัยอยู่จำนวนมาก อาทิ ปลา เต่า ตัวเงินตัวทอง ฯลฯ ซึ่งสัตว์เหล่านี้อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร กลืนลงท้องจนป่วยตายได้


2. การปล่อยสัตว์
          การปล่อยสัตว์ทุกประเภทที่มีคนจับมา เช่น ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ฯลฯ ซึ่งตามความเชื่อหมายถึงการปล่อยกลับสู่ธรรมชาติเพื่ออิสรภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกันกลับกลายเป็นสนับสนุนให้ผู้ค้าจับมาขาย เพราะเห็นว่าขายได้ มีคนซื้อเป็นประจำ กลายเป็นวัฏจักรค้าชีวิตที่ไม่รู้จบ แต่อย่านับรวมการไถ่ชีวิตโคกระบือนะครับ เพราะกรณีนั้นเงินที่ได้จากการไถ่ชีวิตโคกระบือ คือการนำไปซื้อออกกมาจากโรงฆ่าสัตว์เพื่อนำไปให้วัดหรือเกษตรกรเลี้ยง มิใช่การจับวัวมาขายเหมือนสัตว์เล็กอื่น


3. การให้อาหารช้างในเมือง
         แม้ปัจจุบันในเขตเมืองหลวง จะมีกฎหมายควบคุมไม่อนุญาตให้ควานช้างพาช้างเข้ามาเดินริมถนนได้ แต่รอบชานเมืองก็ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ที่ควานช้างซื้อผลไม้แบกมาขายต่ออีกทอดให้ผู้คนซื้อและป้อนช้างที่พามาเดินริมถนน ซึ่งอาจจะซื้อไปเป็นครั้งคราวตามความสงสาร แต่กลับเป็นการสนับสนุนให้ควานช้างพามาเดินมากขึ้น ซึ่งช้างเป็นสัตว์ป่า ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะพามาเดินตามถนน นอกจากจะเสียสุขภาพช้างแล้ว ยังควบคุมลำบากเกิดช้างตกมัน หากไม่มีผู้ซื้อ ควานช้างก็คงจะไม่พาขายอีกอย่างแน่นอน


4. ทำบุญไม่ลืมหูลืมตา
         หมายถึงการทำบุญที่ขาดสติ ไม่พิจารณาก่อนว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ เช่น การทำบุญกับพระปลอมหรือพระอาบัติ กลายเป็นการร่วมกันบ่อนทำลายพุทธศาสนา ,การทำบุญเกินตัว หรือเกินกำลังทรัพย์ กลายเป็นความทุกข์ที่จะตามมาในอนาคต ,การทำบุญหวังผล ทำบุญแลกวัตถุนิยมงมงายโดยคาดหวังว่าจะได้สิ่งตอบแทน ,การทำบุญเอาง่าย สักแต่ทำ แต่ไม่ได้จิตให้สงบ เป็นต้น เปรียบเสมือนคำสอนที่ว่า หากจะปล่อยสัตว์สู่ธรรมชาติ ยังต้องศึกษาก่อนว่าสัตว์บกถ้าปล่อยลงน้ำจะรอดชีวิตหรือไม่

          นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่เห็นได้ว่า บางครั้งการทำบุญก็ต้องใส่ใจพิจารณาเจริญสติภาวนา ว่าทำบุญไปแล้วได้บุญหรือไม่ หรือจะส่งผลทางตรงทางอ้อมเป็นบาปกับใคร แน่นอนที่สุดว่าการทำบุญต้องทำด้วยใจ และต้องไม่สร้างบาปไปพร้อมกัน

6 ขั้นตอนการใช้แอร์รถยนต์ สู้อากาศร้อนจัด

          ในช่วงที่อาการร้อนจัดอย่างนี้ เราจะมาแนะนำการใช้เครื่องปรับอาการในรถยนต์อย่างถูกวิธี เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่ร้อนจัดในห้องโดยสาร รวมถึงการถนอมเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ของคุณกันนะครับ



1. อย่าเพิ่งเปิด
 เมื่อคุณจอดรถกลางแจ้ง ควรเลี่ยงการเปิดแอร์สู้กับอุณหภูมิในห้องโดยสารทันที เพราะคอมเพรสเซอร์จะทำงานหนักมากกว่าอุณหภูมิจะลดลง ทางที่ดีควรเปิด ประตูรถหรือกระจกทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้อากาศถ่ายเทเข้าสู่อุณหภูมิปกติก่อน

2. เปิดแอร์จากเบาไปแรง

 เปิดพัดลมแอร์เบอร์ 1-2 สัก 5 นาที เพื่อให้คอมเพรสเซอร์แอร์ได้วอร์มสักพัก แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นตามต้องการ ควรเลี่ยงการเร่งเต็มที่ตั้งแต่แรก เพราะอาจทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์สึกหรอเร็ว เหมือนเราออกกำลังกายต้องวอร์มอัพก่อนเช่นเดียวกัน

3. ตั้งอุณหภูมิที่ 20-25°

 แม้อุณหภูมิมาตรฐานจะอยู่ที่ 25 องศาเซลเซียส แต่ถ้ายังรู้สึกไม่เย็นสบายก็ปรับลดได้ตามเหมาะสม แต่ไม่ควรตั้งอุณหภูมิให้เย็นสุดเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลาเช่นกัน

4. เลี่ยงการใช้น้ำหอมในรถยนต์

น้ำหอมหรือสเปรย์ปรับอากาศ จะมีไอระเหยของสารเคมีที่ให้กลิ่นหอม ถูกดูดเข้าไปสะสมตัวในคอยล์เย็น ทำให้ฝุ่นตามไปจับตัวที่ครีบระบายความเย็น ในระยะยาวจะส่งผลให้การถ่ายเทความร้อนช้าลง คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานมากขึ้น หรือพูดง่ายๆว่าแอร์ไม่ค่อยเย็นนั่นเอง

5. ปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย

ก่อนถึงจุดหมายปลายทางสัก 1นาที ควรปิดสวิตช์แอร์(A/C) แล้วเร่งพัดลมแรงสุด เพื่อไล่ความชื้นออกจากท่อแอร์และคอยล์เย็น ช่วยป้องกันปัญหากลิ่นอับได้ ส่วนใครที่ไม่ชอบปิดแอร์ตอนดับเครื่องยนต์ นั่นยิ่งอาจทำให้มีกระแสไฟกระชากตอนสตาร์ทรถ ส่งผลเสียโดยตรงอย่างแน่นอนครับ


6. แอร์ไม่เย็นมีหลายปัจจัย
ปัญหาแอร์รถยนต์ไม่เย็น แท้จริงแล้วมีหลายปัจจัยประกอบกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถมักเลือกวิธีที่แก้ง่ายที่สุดคือการไปเติมน้ำยาแอร์ จริงๆแล้วหากรถคุณต้องเติมน้ำยาแอร์บ่อยผิดปกติ นั่นหมายถึงอาจมีรอยรั่วอยู่ ควรหาให้เจอและรีบแก้ไขก่อน ส่วนปัจจัยอื่นๆนอกจากนี้ก็มีอีกมาก เช่น รถเก่า ประสิทธิภาพคอมเพรสเซอร์และพัดลมระบายความร้อนย่อมลดลง ขณะรถจอดติด แอร์อาจสู้ความร้อนไม่ไหว แต่ถ้ารถเคลื่อนไปเรื่อยๆสัก 60 กม./ชม.ขึ้นไป ลมจะช่วยระบายความร้อนที่แผงด้านหน้า ที่อยู่หลังกระจังหน้ารถ ช่วยให้แอร์ในห้องโดยสารเย็นขึ้นได้ นอกจากนี้การติดฟิล์มกันความร้อนประสิทธิภาพสูงๆ จะช่วยลดอุณหภูมิในห้องโดยสาร ทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักและเย็นเร็วขึ้นด้วย



อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

ฝนตก.. ยิ่งต้องล้างรถ เพราะอะไร ?

 "ล้างรถทีไร ฝนตกทุกที เสียดายเงิน" 


           แม้นี่จะเป็นความรู้สึกของเจ้าของรถส่วนใหญ่ แต่เชื่อหรือไม่ว่า การล้างรถบ่อยๆในช่วงฝนตก เป็นการถนอมสีรถของคุณให้ยิ่งสดใสเงางาม เพราะอะไรลองพิจารณาดังนี้




1. ยิ่งไม่ล้างยิ่งสะสมความสกปรก เป็นปกติเมื่อรถเปียกน้ำ สิ่งสกปรกจะเกาะติดรถได้ง่าย สังเกตจากเมื่อรถแห้ง คุณจะเห็นคราบฝุ่นเกาะอยู่ทุกครั้ง สะสมมากยิ่งล้างยาก เพราะจะฝังเข้าไปในชั้นแล็กเกอร์ของสีรถ ทำให้การฉีดน้ำหรือการล้างรถด้วยแชมพูอาจไม่เพียงพอ และถ้าออกแรงขัดคราบสกปรกผิดวิธี ยิ่งทำร้ายสีรถ


2. ฝนกรดศัตรูตัวร้ายของสีรถ เพราะน้ำฝนโดยเฉพาะในกทม. มักมีมลพิษเจือปนอยู่ ทำให้น้ำฝนมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ สามารถกัดกร่อนสีรถ หมองเร็ว ทำให้สีรถไม่เงางาม 

3. หลังลุยฝนต้องระวัง อย่าจอดรถตากแดด เพราะแสงแดดจะทำให้คราบน้ำฝนแห้งเป็นคราบฝังตัวแน่นลงลึกถึงเนื้อสี เป็นการทำร้ายสีรถซ้ำ และไม่ควรนำผ้าแห้งมาเช็ดรถทันที เพราะหลังลุยฝนจะมีฝุ่น ทราย และโคลน เกาะที่ผิวรถ การเช็ดทันทีด้วยผ้าแห้งอาจทำให้เกิดรอยได้ ควรฉีดล้างออกก่อน แล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าชามัวร์เช็ดรถ 


4. ไม่จำเป็นต้องเสียเงินล้างรถทุกครั้ง เพียงแค่หมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ ใช้สายยางฉีดไล่คราบน้ำ และฝุ่นโคลนออกไป โดยเฉพาะหลังลุยฝนมาใหม่ๆ เป็นการลดการเกิดคราบฝังแน่น รถจะดูสะอาดตลอดเวลาแม้ฝนตก และประหยัดเงินด้วย

5. เคลือบสีบ้าง เดือนละ 1-2 ครั้ง เพราะเป็นการทำให้ชั้นสีรถหนาขึ้น    ลื่นขึ้น สิ่งสกปรกจะเกาะได้แค่หน้าชั้นแว็กซ์ สามารถทำความสะอาดได้ง่าย เมื่อล้างเองใช้แค่สายยางฉีดน้ำก็เพียงพอ

          สรุปเปรียบเทียบง่ายๆ เวลาเนื้อตัวเรามีเหงื่อ เรายังอยากอาบน้ำให้สะอาด เพราะถ้าไม่อาบก็ยิ่งหมักหมมความสกปรก และเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ควรต้องสวมใส่เสื้อผ้าหรือกางร่มเมื่อต้องตากฝน รถของคุณเองก็ไม่ต่างกันครับ


 


By อภิสุข เวทยวิศิษฏ์