วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

6 ไอเดีย 'ทางม้าลาย' ที่ทำให้คนข้ามปลอดภัยขึ้น


    อุบัติเหตุรถชนคนบนทางเท้าในประเทศไทยเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดเหตุแต่ละครั้งก็จะผุดไอเดียแก้ไขเป็นครั้งคราวไป และมักจะเป็นเพียงไอเดีย"นำร่อง"สุดท้ายไม่ได้นำไปใช้อย่างแพร่หลายมากนัก มาดูกันว่ามีแบบไหนที่ควรปรับมาใช้ให้ครอบคลุมในประเทศไทยกันบ้าง




1. ทางม้าลาย 3 มิติ


     เป็นการตีเส้นทางม้าลาย โดยออกแบบใช้สีให้มีมิติ เมื่อขับขี่เข้ามาใกล้จะเห็นเหมือนว่าเส้นทางม้าลายลอยอยู่เหนือผิวถนน ทำให้ต้องระมัดระวังและลดความเร็วลงอัตโนมัติ ในประเทศไทยมีตีนำร่องหน้าโรงแรงหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร ส่วนต่างจังหวัดมีที่ จ.อุตรดิตถ์ จ.พิษณุโลก จ.นครศรีธรรมราช จ.ขอนแก่น เป็นต้น แม้จะได้สร้างการรับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ไอเดียนี้มีข้อถกเถียงว่า จะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถเองหรือไม่ เพราะอาจจะทำให้ตกใจจนเกิดอุบัติเหตุเสียเอง สุดท้ายจึงไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ในหลายประเทศ อาทิ อินเดีย จีน ไอซ์แลนด์ ต่างก็ใช้กันมาหลายปี ได้ข้อสรุปเดียวกันว่าลดอุบัติเหตุบนทางเท้าได้จริง จะมีข้อเสียก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปสีอาจจะไม่ชัด ทำให้มิติดูลดลง 




2. เส้นซิกแซ็ก


     เป็นการตีเส้นซิกแซ็กก่อนถึงทางม้าลาย 15 เมตร เพื่อให้ผู้ขับขี่สะดุดตาก่อนถึงทางม้าลาย โดยการตีเส้นลักษณะนี้จะทำให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกว่า ช่องทางจราจรแคบลง ทำให้ต้องลดความเร็วและหยุดรถโดยอัตโนมัติ มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ ศรีลังกา ซึ่งปัจจุบันในไทยมีใช้ในหลายพื้นที่ แต่จุดเริ่มต้นจริงๆเกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุรถฝ่าไฟแดงทางม้าลาย มาชนพนักงานสาวแกรมมี่ขณะข้ามถนนอโศก เมื่อปี 2557 ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีปริมาณการจราจรหนาแน่นมาก ทั้งยังมีผู้คนจำเป็นต้องข้ามถนนอยู่แทบไม่ขาดสาย ทำให้รถที่ใช้เส้นทางไม่เคารพสัญญาณ ต่อมาถึงกับต้องมีพนักงานถือธงแดงให้สัญญาณคนข้ามถนนมาจนถึงปัจจุบัน 




3. ทางม้าลายสีแดง


     เป็นทางม้าลายต้นแบบ โดยกรุงเทพมหานคร ประกาศทดลองใช้บริเวณแยกอโศกมนตรี ต้นปี 2564 ไอเดียสำคัญคือ การใช้สีแดงให้เห็นชัดเจน หากใครไม่หยุดรถหรือหยุดรถทับเส้นจะใช้กล้อง CCTV จับปรับ นอกจากนี้ยังออกแบบให้ผู้ใช้รถวีลแชร์สามารถใช้ทางเท้าเชื่อมต่อทางม้าลายได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวก็มีใช้เฉพาะแยกไฟแดงขนาดใหญ่เท่านั้น 




4. ทางม้าลายดิจิทัล


     มีมากมายหลายรูปแบบ อาทิ ในประเทศโปแลนด์ ใช้เทคโนโลยี Smartpass เมื่อมีคนข้ามถนน จะมีระบบอินฟราเรดตรวจจับส่งสัญญาณให้ไฟบนพื้นถนนสว่างขึ้น มีป้ายเตือนเหนือศีรษะเตือนให้คนขับขี่เห็นแต่ไกล นอกจากนั้นยังมีเรดาร์ช่วยวัดความเร็วของรถที่กำลังวิ่งเข้ามา และมีเสียงสัญญาณช่วยเตือนอีกด้วย




ภาพจาก : Euroasfalt Sp. z o.o.


     ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น มีใช้เทคโนโลยีโฮโลแกรม ฝังอุปกรณ์ลงไปที่พื้นถนน เมื่อถึงจังหวะคนข้ามถนน จะยิงแสงขึ้นมาเป็นกราฟิกขวางรถ เรียกว่ายังไงก็ต้องเห็น ยังไงก็ต้องหยุดรถอย่างแน่นอน แต่อาจจะมีข้อเสียคือใช้งานได้ดีเฉพาะช่วงกลางคืน




ภาพจาก : Ceemeagain


     ส่วนที่อังกฤษ มีใช้เทคโนโลยีต้นแบบ Starling Crossing เปลี่ยนผิวถนนให้เป็นจอ Interactive มีระบบทำงานร่วมกันระหว่างกล้องที่ติดตั้งไว้ด้านบน เซนเซอร์ และอุปกรณ์ที่ฝังไว้ใต้ดิน เมื่อมีคนข้ามถนน จะมีกราฟฟิคขึ้นมาโดดเด่น เพื่มความปลอดภัยให้กับคนได้เป็นอย่างดี




ภาพจาก : Ceemeagain


5. ใช้ไม้แข็ง


     "เตือนไม่ได้ ก็ต้องบังคับ" น่าจะเป็นนิยามที่ชัดเจนมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ที่ประเทศแคนาดา ใช้แถบวัสดุสีเหลืองไปติดตั้งที่พื้นถนน เมื่อมีคนข้ามถนน แผ่นจะเด้งขึ้นมาเป็นรั้วให้คนเดินทางข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย




ภาพจาก : Ceemeagain


6. บังคับใช้กฎหมาย และมาตรการเชิงสังคม


     มีตัวอย่างในประเทศจีน ที่ใช้ทางม้าลายแบบธรรมดาขนาดมาตรฐาน มีสัญญาณไฟให้คนข้าม แต่มีกล้องตรวจจับรถที่ไม่หยุดหน้าทางม้าลาย ใช้ตำรวจเปรียบเทียบปรับกันตรงนั้น ขณะเดียวกันถ้ามีคนเดินข้ามทางม้าลายในขณะที่เป็นสัญญาณไฟเขียวของรถ จะมีกล้องที่ใช้ AI ตรวจจับใบหน้า ขึ้นภาพบนจอมอนิเตอร์ใหญ่ยักษ์ประจานกันตรงนั้น และมีการหักคะแนน Social Credit อีกด้วย 




     อย่างไรก็ตาม แม้ทางม้าลายจะถูกออกแบบมาดีขนาดไหน สุดท้ายก็มักจะอยู่ที่พฤติกรรมของผู้ขับขี่ว่ามีวินัยและเคารพกฎจราจรหรือไม่ สุดท้ายคงต้องกลับมาถามที่ตัวเราเอง หากเปลี่ยนเป็นตัวคุณที่เป็นฝ่ายไปเดินข้ามถนน คุณอยากได้รับความปลอดภัยมากที่สุดหรือไม่


DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

https://www.js100.com/en/site/post_share/view/114112

 

'มนุษย์เงินเดือน-คนโสด' มองต่างมุม! วิกฤติโควิดกับโอกาสเก็บเงิน



    แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งโลกจะย่ำแย่ แต่หากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน ยังมีงานประจำทำ ไม่ตกงาน และถ้ายังโสดไม่มีภาระอีกด้วย โปรดตั้งสติให้ดี! อย่าอ่อนไหวไปตามกระแส ลองคิดบวกดูใหม่ ดูเงินในบัญชีอาจไม่ได้ร่อยหรออย่างที่คิด วิกฤติครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้คุณเก็บเงินได้ไม่น้อย เพราะอะไรลองดูกัน





1. รายได้เข้าประจำ



     นอกจากเจ้าของกิจการแล้ว คนที่เดือดร้อนจากวิกฤติครั้งนี้ส่วนมาก คือ คนหาเช้ากินค่ำ รับจ้างรายวัน และอาชีพอิสระ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังมีเงินเดือน ทั้งทำงานประจำ และราชการ คุณยังคงมีรายได้เข้าทุกสิ้นเดือนอยู่ เพียงแต่ให้ระมัดระวังการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเท่านั้น





2. คุณได้ทำงานที่บ้าน (WFH)



     หลายบริษัทสนับสนุนให้ทำงานที่บ้าน (Work From Home) ได้ ซึ่งข้อดีนอกเหนือจากการลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคแล้ว คือ การประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี! ยกตัวอย่างหากคุณเดินทางไปกลับ ไม่ว่าจะขับรถไปทำงาน หรือเดินทางด้วยรถไฟฟ้า เงิน 100 บาทคงไม่พอ ยังไม่นับค่าวินปากซอย ค่าทางด่วน ที่ต้องมีเพิ่ม รวมแล้วอาจถึง 2,000 - 5,000 บาท/เดือน เลยทีเดียว แม้บางกระแสมองว่า อาจมีค่าน้ำค่าไฟที่เพิ่มขึ้น แต่แอดรับรองว่าโดยรวมก็ยังไม่เท่าค่าเดินทางแน่นอน ยังไม่นับค่าข้าวนอกบ้านแต่ละมื้อที่ทานรวมกันกับคนที่บ้านย่อมประหยัดได้มากกว่า





3. สิ่งเร้าถูกล็อกดาวน์



     ข้อนี้หลายคนมองข้าม แต่จริงๆแล้ว ถือเป็นข้อสำคัญในการเก็บเงินเลยทีเดียว บางคนจบใหม่ทำงานเงินเดือน 15,000 - 20,000 บาท แต่ไปเที่ยวผับ บาร์ สถานบริการ จ่ายเงินครั้งละ 1,000 - 10,000 บาท ดังนั้นถ้าดูให้ดี ตอนนี้สถานบริการเหล่านี้ปิด ทั้งยังห้ามจำหน่ายสุราที่ร้านอาหาร เชื่อว่าหลายคนมีเงินเหลือเพราะไม่ได้ใช้จ่ายตรงส่วนนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว 





4. มีเวลามากขึ้น



     จากเดิมเวลาทั้งวันของคุณต้องอยู่ที่ออฟฟิศ ตอนนี้เมื่อคุณได้ WFH อยู่บ้านแล้ว ลองหารายได้เสริมดู! ทำงานหลักให้ได้ตาม KPI ในแต่ละวัน แล้วลองทำอะไรที่ไม่เคยทำดู งานสินค้าประเภท DIY หรืองานนายหน้า ที่ขายได้ส่วนแบ่ง-ส่วนต่าง นาทีนี้ต้องมาแล้ว! เพราะคุณมีเวลาอิสระมากขึ้น สำคัญอย่าติดอยู่กับความขี้เกียจ และระวังอย่าให้กระทบกับงานหลักของคุณล่ะ 





5. อะไร อะไร ก็ลดราคา



     ในขณะที่หลายบริษัทต้องดิ้นรนยอดขายเพื่อความอยู่รอด แต่สำหรับคนที่มีรายได้ประจำอย่างเรา มีเงินเข้าตามปกติ ย่อมมีอำนาจในการต่อรองสูงช่วงนี้! เพราะคุณจะซื้ออะไรตอนนี้ก็มักได้ราคาถูกกว่าปกติแน่นอน เลือกดูเลือกซื้อให้ดี ยุคนี้ซื้อของต้อง "คุณค่ามากกว่ามูลค่า" ระวังอย่าซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นละกัน





6. โอกาสในการลงทุน



     หากคุณมีเงินก้อนที่เก็บไว้ ไม่มีภาระที่ต้องใช้อะไรเร่งด่วน หากคุณมองให้ดีนี่อาจเป็นโอกาสในการลงทุน ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจติดลบแบบนี้นี่แหละบอกแล้วอะไรก็ถูก ของดีราคาถูกจะมีก็ต้องตอนนี้เท่านั้น อีกทั้งตามวัฏจักรหลังวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ มีลงก็ต้องมีขึ้น ช้อนได้ให้รีบช้อน แต่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด "ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง" ประโยคนี้ใช้ได้เสมอ อย่าลืมศึกษาให้ดีก่อน ถ้ายังไม่มั่นใจ เก็บเงินของคุณไว้กับตัวก็คือการลงทุนชนิดหนึ่งแล้ว



ดีเจ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

 https://www.js100.com/en/site/post_share/view/97706

จากวัดที่ต้องปิดเพราะพบผู้ติดเชื้อ สู่มาตรการเข้มงวด รองรับคนแก้ชง @วัดเล่งเน่ยยี่2


    "ปีที่แล้วเราให้กรอกข้อมูลลงทะเบียนก่อนเข้าวัด ปรากฏว่า มาด้วยกัน 3-4 คน ก็กรอกกันคนเดียว ยืดหยุ่นอำนวยความสะดวกให้คนที่อยากมาทำบุญ สุดท้ายพอมีผู้ติดเชื้อเมื่อปลายเดือนธ.ค.63 ตามใครแทบไม่ได้ มา 100 คน ตามได้ 3 คน มีทั้งชื่อเล่น เบอร์ปลอม มั่วไปหมด ขณะที่วัดต้องปิดยาวกว่า 1 เดือน" คำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่วัด ณ จุดคัดกรอง 




     ตามที่ จังหวัดนนทบุรี ประกาศคำสั่งปิดวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2563 จนล่าสุดกลับมาเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.2564 ที่ผ่านมา แอดมีโอกาสได้เข้าไปทำบุญและพบว่า ทางวัดมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นมากๆ เรียกได้ว่า สามารถใช้เป็นต้นแบบให้หลายๆวัดได้เลยทีเดียว มีอะไรบ้างลองมาดูกัน




     ตั้งจุดคัดกรอง เข้า-ออก ด้านเดียว : โดยธรรมชาติของวัด ย่อมไม่ใช่สถานที่ปิดตาย จึงไม่แปลกที่การออกแบบวัดจะสามารถเข้าออกได้หลายจุด แต่ในช่วงของการควบคุมโรค การกำหนดจุดเข้าออกที่จำกัด ย่อมสะดวกต่อการคัดกรอง และการควบคุมจำนวน ซึ่งที่วัดนี้ตั้งจุดคัดกรองด้านลานจอดรถ แถมมีเจ้าหน้าที่อาสายืนดูแลเข้มงวด




     บังคับโหลดแอป "หมอชนะ" : ตรงนี้ถือเป็นหัวใจเลยครับ แทบไม่มีที่ไหนกล้าบังคับเช่นนี้ ก่อนเดินเข้าไปจะมีเจ้าหน้าที่ประกาศถามผ่านไมโครโฟน ว่ามีแอปหมอชนะหรือยัง แถมไม่ใช่แค่ถามลอยๆนะครับ ขอดูทุกคนที่จะเดินผ่านเข้าไปเลย




     อำนวยความสะดวก : มีคนแนะนำการโหลด การลงทะเบียน จัดทำบอร์ดประชาสัมพันธ์ชัดเจน ใครไม่มีเน็ตไม่ต้องห่วง เพราะมี FREE WIFI ไว้บริการอีกด้วย ดังนั้นใครที่เพิ่งโหลดหมอชนะ ไม่ต้องเขิน มีเพื่อนอีกเยอะ ยืนเซลฟี่ลงทะเบียนตรงนั้นกันเพียบ




     ลงทะเบียนแทนกันไม่ได้ : แอดยืนสำรวจบริเวณจุดคัดกรองอยู่นาน มีหลายคนที่บอกเจ้าหน้าที่ว่า"มาด้วยกัน" แต่ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตรงนี้เลยว่า มีความอดทนและใช้คำพูดนอบน้อมขอความร่วมมือให้โหลดแอปหมอชนะทุกคน ซึ่งก็เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองทั้งนั้น แถมมีประโยคที่แอดฟังแล้วคล้อยตามคือ หากลงทะเบียนแทนกัน แล้วบังเอิญมีคนรับเชื้อไปจากที่นี่ไม่ลงทะเบียน คนนั้นเอาเชื้อไปแพร่ต่อได้โดยไม่รู้ที่มาที่ไปได้อีก ดังนั้นอาจจะยกเว้นให้ได้ก็เพียงแต่เด็กเล็กๆ ที่ยังต้องอุ้มไม่สามารถไปไหนมาไหนเองเท่านั้น




     สำหรับคนไม่มีสมาร์ทโฟน : หากคุณไม่สามารถโหลดแอปหมอชนะได้จริงๆ ด้านในจะมีเอกสารให้กรอกอย่างละเอียด ทั้งชื่อ นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และรายละเอียดต่างๆ ซึ่งต้องกรอกตามความเป็นจริง มีเจ้าหน้าที่กำกับดูแล เรียกได้ว่าการกรอกข้อมูลตรงนี้ ต้องลงรายละเอียดมากกว่าโหลดแอปหมอชนะเยอะ




     วัดอุณหภูมิ ฆ่าเชื้อโรค : ใช้เวลาด้านนอกอยู่นานพอสมควร เมื่อแสดง QR Code สีเขียวๆในแอปหมอชนะให้เจ้าหน้าที่ดูแล้ว ให้คุณเดินผ่านเครื่องพ่นละอองฆ่าเชื้อโรคทั่วตัว แล้วไปแบบมือหน้าเซ็นเซอร์รอเจลแอลกอฮอล์ล้างมือหยดลงมา ซึ่งจุดนี้จะมีการวัดอุณหภูมิโดยอัตโนมัติไปในตัว สะดวกเข้าไปอีก




     นำถุงใส่รองเท้าเข้าไปด้วย : เจ้าหน้าที่จะให้คุณหยิบถุงใส่รองเท้าถือติดตัวไป เพื่อตอนเดินเข้าภายในวิหารทุกคนต้องถอดรองเท้า เป็นทางเลือกให้ว่าจะถอดรองเท้าด้านนอกเดินเข้าไปตัวเปล่า หรือเอารองเท้าราคาแพงของคุณใส่ถุงถือติดตัวไปด้วย อีกนัยนึงคือการลดความแออัดบริเวณจุดถอดรองเท้านั่นเอง




     จัดการระเบียบ เว้นระยะห่าง : บริเวณจุดติดต่อต่างๆ จะจัดให้มีการเว้นระยะห่าง ติดสติ๊กเกอร์จุดยืนที่พื้นระยะ 1-2 เมตร กั้นช่องทางเดินให้เป็นระเบียบ และแบ่งทิศทางการเดินลดความแออัดเมื่อต้องเดินสวนกัน




     มีช่องกั้นบริเวณจุดกรอกข้อมูล : เชื่อว่าหลายคนมาวัดนี้ก็เพื่อทำบุญแก้ปีชง ซึ่งจะต้องมีการกรอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ลงในใบฝากบุญ ซึ่งทางวัดจัดพื้นที่ให้มีการนั่งกรอกโดยมีแผ่นพลาสติกกั้นอย่างดี และมีปากกาให้บริการเพียงพอ ไม่ต้องเดินให้วุ่นเหมือนหลายที่ทั่วไป




     มีจุดเจลแอลกอฮอล์ให้กดล้างมือเป็นระยะ : โดยเฉพาะจุดที่ต้องมีการสัมผัสร่วมกัน เช่น กล่องหยิบธูป จานเทียน ฯลฯ แนะกดล้างมือกันทั้งก่อนและหลังทุกครั้งจะดีมาก




     ใส่หน้ากากป้องกันกันทุกคน : เท่าที่แอดเห็น เจ้าหน้าที่วัดทุกจุดไม่ว่าจะเป็น จุดคัดกรอง คนทำความสะอาด คนกวาดสวน และผู้ดูแลอื่นๆ ตังค์ใส่หน้ากากอนามัยกัน 100% อีกทั้งยังคอยเตือนให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาด้วย




     เรียกได้ว่ามาตรการที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกันควบคุมโรคโควิด-19 ถือเป็น New Normal ของวัดเลยก็ว่าได้ ทำให้เกิดความปลอดภัยทั้งกับพระสงฆ์ บุคลากรของวัด โรงเรียน และประชาชนผู้มาทำบุญทุกคน ใครจะเดินทางไปแก้ชงก็อย่าลืมให้ความร่วมมือกับทางวัดด้วย ทั้งหมดก็เพื่อตัวคุณเอง


     สุดท้ายนี้ เชื่อว่าบางคนอาจสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงต้องเป็นแอป"หมอชนะ" ทำไมไม่ใช้"ไทยชนะ" เหมือนอย่างที่อื่นๆ ซึ่งจริงๆแล้วแอดก็เห็นมี QR Code ของไทยชนะให้เช็คอินอยู่เหมือนกัน แต่ถูกนำไปวางไว้หลบมุมป้องกันการสับสน จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า ทางจังหวัดอยากให้เน้นไปที่การบังคับให้โหลดแอปหมอชนะมากกว่า เพราะสามารถติดตามได้ในระดับบุคคล ใครเดินผ่านใคร ใครมีเชื้อ ใครรับเชื้อ แอปจะทำงานให้เอง และสามารถติดตามได้ในที่สุด


DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์


https://www.js100.com/en/site/post_share/view/98390

 

จำไม่ได้ไม่เป็นไร! ไปไหนมาบ้าง เจอผู้ติดเชื้อโควิด19 หรือไม่? เปิด Google Timeline กันเลย


     ในขณะที่ ศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นรายวัน วันละหลักร้อยคน ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆเกือบ 1 หมื่นคน โดยหลังจาก ศบค. สอบสวนโรครายบุคคล ได้มีการเปิดเผย Timeline การเดินทางมาเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบตนเองว่าได้เดินทางไปยังสถานที่และช่วงเวลาดังกล่าวพร้อมกับผู้ติดเชื้อหรือไม่


     แอดแนะนำวิธีการตรวจสอบง่ายๆ ผ่านสมาร์ทโฟนของคุณเอง เพราะแทบทุกคนคงเคยใช้งาน Google Maps กันอยู่แล้ว ขอแนะนำให้รู้จัก Google Timeline ฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติ ช่วยบันทึกประวัติการเดินทางของคุณในแต่ละวัน สามารถนำมาเทียบกับ Timeline ผู้ติดเชื้อกันอย่างง่ายๆ


1.เปิดแอป Google Maps แตะไปที่ภาพโปรไฟล์ด้านขวาบน




2.เลือกไทม์ไลน์ของคุณ




3.เลือกดูประวัติย้อนหลังได้ โดยเลือกวันที่ด้านบน




4.เลื่อนซ้าย – ขวา และเลือกรายวันได้




5.แตะด้านล่างเพื่อดูรายละเอียดช่วงเวลาได้




6.ในหน้าแรก สามารถเลือกดูแบบสถานที่ที่เคยไปได้เช่นกัน


 


     สำหรับใครที่ยังไม่ได้เปิดใช้งานฟีเจอร์ Google Timeline แนะนำให้เข้าเปิดหรือตั้งค่าอื่นๆเพิ่มเติมที่ ข้อมูลของคุณใน Maps




     ทั้งนี้ ข้อมูลบน Google Timeline ที่ช่วยบันทึกประวัติการเดินทางของคุณ เชื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อตัวผู้ใช้งานอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใครที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวก็สามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้เช่นกันครับ


อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

https://www.js100.com/en/site/post_share/view/96786

 

4 กลโกงร้านค้า #คนละครึ่ง อย่านึกว่ารัฐไม่รู้ ระวังถูกตัดสิทธิ์ ยึดเงิน ฟ้องคดีฉ้อโกง


 

          แม้โครงการคนละครึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากได้ประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ขณะเดียวกันยังมี"ร้านค้าขี้โกง"หาประโยชน์จากช่องว่างของมาตรการ จนทำให้เสียบรรยากาศและอาจมีผลต่อการพิจารณาขยายโครงการต่อ ซึ่งกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย และตำรวจ ปอศ. ร่วมกันติดตามดำเนินคดีย้อนหลัง ถูกยึดเงินและถูกตัดสิทธิ์ในทันที JS100 รวบรวมกลโกงมาให้ มีทั้งเกิดขึ้นจริงและมีความเป็นไปได้ ดังนี้



1. เบิกเป็นเงินสด

          กลโกง: ร่วมกันโกงทั้ง 2 ฝ่าย ผู้ซื้อทำทีชำระเงินผ่าน G-Wallet เข้าร้านค้าโดยไม่ได้มีการซื้อขายของจริง จากนั้นร้านค้าคืนเป็นเงินสดให้ แล้วนำวงเงิน 150 บาท มาแบ่งกันแล้วแต่ตกลงหัวคิว วินทั้งคู่

          การดำเนินการ: รัฐสามารถตรวจสอบผ่านการทำรายการได้ อาทิ การชำระเงินผิดปกติหรือไม่? ผู้ซื้อจ่ายเงินยอดซ้ำ ยอดเดิม ร้านเดียว หรือไม่?

2. จ่ายครึ่ง ก็รับของครึ่ง

          กลโกง: ร้านค้าลดปริมาณสินค้าหรือบริการให้น้อยลง โดยอ้างว่าผู้ซื้อจ่ายราคาครึ่งเดียว ทั้งที่จริงแล้วอีกครึ่งนั้นรัฐจ่ายให้ร้านค้าได้รับเงินเต็มจำนวน ไม่ได้ถูกหักแต่อย่างใด

          การดำเนินการ: ผู้ซื้อปกป้องสิทธิ์ตนเอง ด้วยการไม่สนับสนุน ไม่ซื้อสินค้าหรือบริการ และสามารถแจ้งตำรวจ หรือสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค เข้ามาตรวจสอบได้

3. ขึ้นราคา

          ร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสูงจากเดิม เพราะเห็นว่าลูกค้าเยอะขึ้น และจ่ายเงินเพียงครึ่งเดียว คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ตัวร้านค้ากลับได้กำไรเท่าตัว

          การดำเนินการ: ผู้ซื้อปกป้องสิทธิ์ตนเอง ด้วยการไม่สนับสนุน ไม่ซื้อสินค้าหรือบริการ และสามารถแจ้งตำรวจ หรือสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค เข้ามาตรวจสอบได้

4. ไม่มีร้านจริง

          กลโกง: ลงทะเบียนร้านค้าปลอม ทั้งที่ไม่มีร้านค้าจริง ตั้งร้านค้าหลอก โดยปกติไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการใดโดยตรง

          การดำเนินการ: ในขั้นตอนการลงทะเบียนร้านค้า ธนาคารกรุงไทยจะเป็นผู้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบว่าร้านค้ามีตัวตนจริงหรือไม่ ซึ่งแม้หากมีช่องว่างให้ตบตาได้ แต่ธุรกรรมการทำรายการต่างๆ จะเป็นตัวบ่งชี้ได้อยู่ดี



           อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่ากลโกงต่างๆล้วนเกิดจากการหาช่องโหว่ของมาตรการทั้งสิ้น ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา และไม่สนับสนุนการโกงทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ อย่าลืมว่าวงเงินวันละ 150 บาท แม้จะไม่ได้มากอะไร แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการหมุนเวียนเงินให้การใช้จ่ายและการซื้อขายต่างหาก ที่เป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโครงการ













ขับรถลุยน้ำท่วม "ต้องปิดแอร์" เพราะอะไร?




           เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาสำคัญคือ "น้ำท่วมรอการระบาย" ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจกับรถยนต์สุดรักของเรา บทความนี้จะแบ่งปันข้อควรรู้หรือควรปฏิบัติขณะขับรถลุยจุดที่มีน้ำท่วมกันนะครับ




             1. ขับช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าขับเร็วโดยเด็ดขาด เพราะน้ำจะทำให้รถเสียการทรงตัว โดยเฉพาะการขับผ่านน้ำท่วมด้านใดด้านหนึ่งไม่ครบ 4 ล้อ อาจจะทำให้รถหมุนได้ และที่สำคัญเบรคจะลื่นขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ควบคุมรถได้ยากขึ้น



              2. ประเมินระดับน้ำ โดยทั่วไปหากระดับน้ำสูง 30 ซม.ขึ้นไป หรือประมาณครึ่งล้อรถ ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ทั้งเครื่องยนต์ขัดข้อง หรือน้ำเข้ารถ ซึ่งหากรถคุณโหลดเตี้ยกว่าปกติยิ่งต้องระวังมากขึ้นอีก ส่วนรถ SUV ปัจจุบันก็อย่าประมาท เพราะบางรุ่นออกแบบมากึ่งสปอต อาจไม่ได้สูงมากนัก



             3. ปิดแอร์ แล้วเปิดกระจกเล็กน้อย ข้อนี้ได้ยินบ่อยที่สุด เพราะการเปิดแอร์จะทำให้ใบพัดของพัดลมแอร์ทำงาน เปรียบเทียบเหมือนเราเปิดพัดลมในน้ำ อาจทำให้น้ำกระจายไปจุดต่างๆภายในห้องเครื่อง และที่สำคัญสิ่งสกปรกที่มากับน้ำอาจทำให้ใบพัดหักได้



              4. ใช้เกียร์ต่ำ ไม่ต้องเร่งเครื่อง หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา ให้ใช้เกียร์ 1 - 2 ส่วนรถเกียร์อัตโนมัติให้ใช้เกียร์ L และรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ 1,500 - 2,000 รอบ เพื่อให้เครื่องยนต์ขับไอเสียออกมาต่อเนื่อง



            5. ห้ามเร่งเครื่องยนต์ เพียงประคองรถให้ผ่านจุดที่น้ำท่วมสูงด้วยความเร็วต่ำสม่ำเสมอ อย่าเร่งเครื่องให้รอบสูงโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเกิดคลื่นที่กระจังด้านหน้า อุณหภูมิเครื่องยนต์จะสูงขึ้น ทำให้พัดลมระบายความร้อนทำงาน เป็นผลเสียตามข้อ 3



            6. อย่าเข้าใจผิดเรื่องน้ำเข้าทางท่อไอเสีย เพราะท่อไอเสียจะขับไอเสียออกมา ไม่ได้มีการดูดน้ำกลับเข้าไป ถึงแม้น้ำจะท่วมมิดท่อไอเสียก็ยังขับต่อไปได้ เหมือนสกู๊ตเตอร์ที่ท่ออยู่ในน้ำ แต่โอกาสที่น้ำจะเข้าทางท่อไอเสียก็ยังมีปัจจัยอื่นประกอบอีก เช่น ตอนเครื่องดับ ดังนั้นไม่เสี่ยงดีที่สุด ซึ่งรถสายลุย 4WD จึงตัดปัญหาด้วยการยกท่อไอเสียสูงเลย



             7. อย่าพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ดับขณะลุยน้ำ ซึ่งนั่นหมายถึงคุณโชคร้ายแล้วที่น้ำเข้าเครื่องยนต์ หากลองสตาร์ท 1-2 ครั้งแล้วไม่ติด อย่าพยายามฝืนสตาร์ทไปเรื่อยๆ เพราะน้ำจะยิ่งเข้าระบบภายในเครื่องยนต์ จะยิ่งเสียหายไปกันใหญ่ สาเหตุที่เครื่องดับเกิดได้หลายปัจจัย เช่น หัวเทียนเปียกน้ำ และน้ำเข้ากรองอากาศดูดเข้าเครื่องยนต์ ซึ่งรถยุโรปมักวางกรองอากาศไว้ต่ำใกล้ซุ้มล้อ มีโอกาสเสี่ยงมากกว่ารถญี่ปุ่น หากมีน้ำเข้าเครื่องยนต์ อาจทำให้ก้านสูบคด เสียเงินยกเครื่องหลักแสนได้



            8. หลังลุยน้ำท่วมให้จอดสตาร์ททิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ไอเสียไล่น้ำที่อาจมีตกค้างอยู่บ้าง แล้วค่อยดับเครื่องยนต์ ระหว่างนี้เดินสำรวจรอบรถว่ามีหลอดไฟดวงใดดับหรือไม่ แผ่นป้ายทะเบียนหลุดหรือไม่ และที่สำคัญสำรวจใต้พรมภายในรถ หากมีน้ำซึมเข้ามา ควรผึ่งรถให้แห้ง หรือนำเข้าศูนย์บริการในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้พรมไม่อับ ส่วนรถบางคันที่กล่อง ECU อยู่ต่ำต้องระวังกล่องได้รับความเสียหายจากความชื้นด้วย



            จำไว้อย่างนึงครับ บางครั้งคุณอาจตัดสินใจลุยน้ำเพื่อรีบกลับ แม้รถอาจจะไม่ดับในขณะนั้น แต่อาจมีผลเสียอื่นๆตามมา โดยเฉพาะน้ำเข้ารถ ซึ่งอาจต้องแก้ไขอีกเป็นสัปดาห์ครับ :)




(https://www.js100.com/en/site/post_share/view/92799)