วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2565

6 ไอเดีย 'ทางม้าลาย' ที่ทำให้คนข้ามปลอดภัยขึ้น


    อุบัติเหตุรถชนคนบนทางเท้าในประเทศไทยเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดเหตุแต่ละครั้งก็จะผุดไอเดียแก้ไขเป็นครั้งคราวไป และมักจะเป็นเพียงไอเดีย"นำร่อง"สุดท้ายไม่ได้นำไปใช้อย่างแพร่หลายมากนัก มาดูกันว่ามีแบบไหนที่ควรปรับมาใช้ให้ครอบคลุมในประเทศไทยกันบ้าง




1. ทางม้าลาย 3 มิติ


     เป็นการตีเส้นทางม้าลาย โดยออกแบบใช้สีให้มีมิติ เมื่อขับขี่เข้ามาใกล้จะเห็นเหมือนว่าเส้นทางม้าลายลอยอยู่เหนือผิวถนน ทำให้ต้องระมัดระวังและลดความเร็วลงอัตโนมัติ ในประเทศไทยมีตีนำร่องหน้าโรงแรงหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร ส่วนต่างจังหวัดมีที่ จ.อุตรดิตถ์ จ.พิษณุโลก จ.นครศรีธรรมราช จ.ขอนแก่น เป็นต้น แม้จะได้สร้างการรับรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ไอเดียนี้มีข้อถกเถียงว่า จะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถเองหรือไม่ เพราะอาจจะทำให้ตกใจจนเกิดอุบัติเหตุเสียเอง สุดท้ายจึงไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ในหลายประเทศ อาทิ อินเดีย จีน ไอซ์แลนด์ ต่างก็ใช้กันมาหลายปี ได้ข้อสรุปเดียวกันว่าลดอุบัติเหตุบนทางเท้าได้จริง จะมีข้อเสียก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปสีอาจจะไม่ชัด ทำให้มิติดูลดลง 




2. เส้นซิกแซ็ก


     เป็นการตีเส้นซิกแซ็กก่อนถึงทางม้าลาย 15 เมตร เพื่อให้ผู้ขับขี่สะดุดตาก่อนถึงทางม้าลาย โดยการตีเส้นลักษณะนี้จะทำให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกว่า ช่องทางจราจรแคบลง ทำให้ต้องลดความเร็วและหยุดรถโดยอัตโนมัติ มีต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ ศรีลังกา ซึ่งปัจจุบันในไทยมีใช้ในหลายพื้นที่ แต่จุดเริ่มต้นจริงๆเกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุรถฝ่าไฟแดงทางม้าลาย มาชนพนักงานสาวแกรมมี่ขณะข้ามถนนอโศก เมื่อปี 2557 ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีปริมาณการจราจรหนาแน่นมาก ทั้งยังมีผู้คนจำเป็นต้องข้ามถนนอยู่แทบไม่ขาดสาย ทำให้รถที่ใช้เส้นทางไม่เคารพสัญญาณ ต่อมาถึงกับต้องมีพนักงานถือธงแดงให้สัญญาณคนข้ามถนนมาจนถึงปัจจุบัน 




3. ทางม้าลายสีแดง


     เป็นทางม้าลายต้นแบบ โดยกรุงเทพมหานคร ประกาศทดลองใช้บริเวณแยกอโศกมนตรี ต้นปี 2564 ไอเดียสำคัญคือ การใช้สีแดงให้เห็นชัดเจน หากใครไม่หยุดรถหรือหยุดรถทับเส้นจะใช้กล้อง CCTV จับปรับ นอกจากนี้ยังออกแบบให้ผู้ใช้รถวีลแชร์สามารถใช้ทางเท้าเชื่อมต่อทางม้าลายได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวก็มีใช้เฉพาะแยกไฟแดงขนาดใหญ่เท่านั้น 




4. ทางม้าลายดิจิทัล


     มีมากมายหลายรูปแบบ อาทิ ในประเทศโปแลนด์ ใช้เทคโนโลยี Smartpass เมื่อมีคนข้ามถนน จะมีระบบอินฟราเรดตรวจจับส่งสัญญาณให้ไฟบนพื้นถนนสว่างขึ้น มีป้ายเตือนเหนือศีรษะเตือนให้คนขับขี่เห็นแต่ไกล นอกจากนั้นยังมีเรดาร์ช่วยวัดความเร็วของรถที่กำลังวิ่งเข้ามา และมีเสียงสัญญาณช่วยเตือนอีกด้วย




ภาพจาก : Euroasfalt Sp. z o.o.


     ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น มีใช้เทคโนโลยีโฮโลแกรม ฝังอุปกรณ์ลงไปที่พื้นถนน เมื่อถึงจังหวะคนข้ามถนน จะยิงแสงขึ้นมาเป็นกราฟิกขวางรถ เรียกว่ายังไงก็ต้องเห็น ยังไงก็ต้องหยุดรถอย่างแน่นอน แต่อาจจะมีข้อเสียคือใช้งานได้ดีเฉพาะช่วงกลางคืน




ภาพจาก : Ceemeagain


     ส่วนที่อังกฤษ มีใช้เทคโนโลยีต้นแบบ Starling Crossing เปลี่ยนผิวถนนให้เป็นจอ Interactive มีระบบทำงานร่วมกันระหว่างกล้องที่ติดตั้งไว้ด้านบน เซนเซอร์ และอุปกรณ์ที่ฝังไว้ใต้ดิน เมื่อมีคนข้ามถนน จะมีกราฟฟิคขึ้นมาโดดเด่น เพื่มความปลอดภัยให้กับคนได้เป็นอย่างดี




ภาพจาก : Ceemeagain


5. ใช้ไม้แข็ง


     "เตือนไม่ได้ ก็ต้องบังคับ" น่าจะเป็นนิยามที่ชัดเจนมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ที่ประเทศแคนาดา ใช้แถบวัสดุสีเหลืองไปติดตั้งที่พื้นถนน เมื่อมีคนข้ามถนน แผ่นจะเด้งขึ้นมาเป็นรั้วให้คนเดินทางข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย




ภาพจาก : Ceemeagain


6. บังคับใช้กฎหมาย และมาตรการเชิงสังคม


     มีตัวอย่างในประเทศจีน ที่ใช้ทางม้าลายแบบธรรมดาขนาดมาตรฐาน มีสัญญาณไฟให้คนข้าม แต่มีกล้องตรวจจับรถที่ไม่หยุดหน้าทางม้าลาย ใช้ตำรวจเปรียบเทียบปรับกันตรงนั้น ขณะเดียวกันถ้ามีคนเดินข้ามทางม้าลายในขณะที่เป็นสัญญาณไฟเขียวของรถ จะมีกล้องที่ใช้ AI ตรวจจับใบหน้า ขึ้นภาพบนจอมอนิเตอร์ใหญ่ยักษ์ประจานกันตรงนั้น และมีการหักคะแนน Social Credit อีกด้วย 




     อย่างไรก็ตาม แม้ทางม้าลายจะถูกออกแบบมาดีขนาดไหน สุดท้ายก็มักจะอยู่ที่พฤติกรรมของผู้ขับขี่ว่ามีวินัยและเคารพกฎจราจรหรือไม่ สุดท้ายคงต้องกลับมาถามที่ตัวเราเอง หากเปลี่ยนเป็นตัวคุณที่เป็นฝ่ายไปเดินข้ามถนน คุณอยากได้รับความปลอดภัยมากที่สุดหรือไม่


DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

https://www.js100.com/en/site/post_share/view/114112

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น