วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

3 ข้อ กับการขับรถฝ่าหมอกให้ปลอดภัย


ช่วงนี้ขับรถเช้าๆ มักมีหมอกปกคลุม ทัศนวิสัยไม่ดี มองด้านหน้าไม่เห็น มองด้านหลังก็ลำบาก มีวิธีปฏิบัติง่ายๆ 3 ด้าน ที่ใช้ได้ทั้งในเขตเมืองที่มีหมอก หรือใช้เวลาไปเที่ยวดอย ดังนี้

1. การเตรียมรถ
- ควรสตาร์ทรถทิ้งไว้ 1-2 นาที เพื่อใช้เวลาวอร์มรถ เพราะอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ
- เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวหรืออุ่นจนเกินไป
- หากอุณหภูมิภายในรถอุ่นกว่าภายนอก ฝ้าจะขึ้นกระจกด้านใน ควรจอดรถเช็ดออก
- หากอุณหภูมิภายนอกรถอุ่นกว่าภายใน ฝ้าจะขึ้นกระจกด้านนอก ใช้ที่ปัดน้ำฝนช่วย
- วิธีปรับอุณหภูมิให้สัมพันธ์กัน คือการเปิดกระจกรถวิ่ง

2. การใช้แสงสว่าง
- เปิดไฟหน้า โคมไฟใหญ่ปกติ เพื่อแสงสว่างมองทาง
- เปิดไฟตัดหมอกหน้า ช่วยส่องทะลุหมอก เพิ่มแสงสว่างระยะใกล้ในระนาบกว้างได้
- เปิดไฟตัดหมอกหลัง เพื่อเป็นสัญญาณให้รถคันหลังเห็น
- เปิดไฟไล่ฝ้ากระจกหลังเมื่อฝ้าขึ้น แต่อย่าเปิดค้างนาน เพราะทำให้เส้นหลอดไฟขาด
- ไม่ควรเปิดไฟตัดหมอกทิ้งไว้ถ้าไม่มีหมอก เพราะแยงตาผู้อื่น ถูกปรับ 500 บาท
- ไม่ควรเปิดไฟสูง เพราะไม่ได้ทำให้การมองเห็นดีขึ้น และยังแยงตาผู้อื่น
- ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินค้างไว้ เพราะจะทำให้รถคันหลังสับสน
- รถที่ใช้ไฟหน้าแบบซีน่อน แสงจะฟุ้งกว่าปกติ ควรใช้ไฟตัดหมอกช่วย

3. การเว้นระยะ
- ทิ้งระยะห่างกับรถคันหน้า 15 เมตร หรือประมาณ 4 คันรถ
- ใช้ความเร็วเหมาะสม 60-80 กม./ชม. ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป และมั่นใจว่าควบคุมรถได้
- การขับขี่ควรยึดเส้นถนนเป็นหลัก อย่าขับคร่อมเลน และเปลี่ยนเลนโดยไม่จำเป็น
- สังเกตสัญญาณไฟเบรคท้ายรถคันหน้าเสมอ หากไฟเบรคขึ้น ให้แตะเบรคตามเบาๆ
- หมั่นมองกระจกหลัง หากมีรถขับจี้ ควรชิดซ้ายให้แซง
- ไม่ควรขับๆเบรคๆ เพราะจะทำให้การจราจรเสียจังหวะ
- หากไม่มั่นใจ ควรจอดในบริเวณที่ปลอดภัยตามปั๊มน้ำมัน ไม่ควรจอดริมถนน


BY :dj .อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

เพื่อน 5 ประเภทใน Facebook


เล่น Facebook ทุกวัน เคยสังเกตไหมว่า แม้มีเพื่อนเป็น 100 คน 1,000 คน แต่เพื่อนที่มีปฏิสัมพันธ์ทั้งกด Like และ Comment กลับมีไม่ถึง 1 ใน 3 ด้วยซ้ำ หากวัดเฉพาะการกด Like คุณอาจสามารถแยกประเภทเพื่อนได้ดังนี้

1. เพื่อนที่คอยกด Like คุณตลอด
เพื่อนกลุ่มนี้นี่แหละ แฟนคลับคุณตัวจริง! คุณทำอะไร กินอะไร ไปไหน โพสอะไร เค้าแทบไม่ทันได้ดู ขอให้ได้กด Like คุณเท่านั้นแหละ ถือว่าเป็นคนที่รู้สึกดีกับคุณไม่น้อย อย่าลืมกลับไปกด Like พวกเค้าบ้างล่ะ พวกเค้าแทบจะการันตีจำนวน Like ขั้นต่ำให้คุณได้เลย

2. เพื่อนที่กด Like ตามโอกาส
เพื่อนกลุ่มนี้จัดเป็นเพื่อนทั่วไปใน Facebook หากคุณทำอะไรที่"ถูกใจ"พวกเค้าจริงๆ เค้าถึงจะยอมกด Like ให้คุณ ดังนั้นหากโพสไหนของคุณที่ยอด Like สูงเป็นพิเศษก็มาจากเพื่อนกลุ่มนี้ล่ะ แต่นั่นก็แลกมาด้วย Status หรือลงรูป ที่โดนใจจริงๆด้วย

3. เพื่อนที่นานทีจะกด Like
เพื่อนกลุ่มนี้คงคาดเดาได้ยาก ที่พวกเค้านานๆทีจะมากด Like อาจเป็นเพราะว่า Facebook's algorithm ปรับคุณไปอยู่ในส่วนน้อยที่จะแสดงในหน้า News Feed ทำให้พวกเค้าเข้าถึงคุณได้ยาก แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าพวกเค้าใส่ใจกดเข้าไปดูคุณบ่อยๆ คุณจะกลับมาอยู่ในลำดับต้นๆทันที

4. เพื่อนที่แทบไม่เคยกด Like
เพื่อนกลุ่มนี้แบ่งได้ 2 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มที่ Add friend มาเพื่อ"ส่อง"หรือแอบดูคุณเท่านั้น คุณจะทำอะไรเขาไม่ได้สนใจหรอก หรือไม่ก็เป็นเพื่อนกันตามมารยาท ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มที่เล่น Facebook ไม่ค่อยเป็น มีบัญชีแต่ไม่ค่อยได้เล่น พอเล่นก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไร ดังนั้นถึงคุณจะกด Unfriend ไป พวกเค้าก็คงไม่รู้ตัวหรอก

5. เพื่อนที่เคยกด Like แต่เดี๋ยวนี้หายไป
เพื่อนกลุ่มนี้น่ากลัวที่สุด! บางทีพวกเค้าอาจไม่ได้หวังดีกับคุณ แต่อาจอิจฉาริษยาอะไรบางอย่างอยู่ หรืออาจเพิ่งจะไม่พอใจอะไรคุณเมื่อไม่นานมานี้ ทางที่ดีคุณต้องพึงระวังตัวไว้บ้าง ถ้ากด Unfriend ก็อาจจะออกตัวแรงไปหน่อย แนะนำเลือกปิดกั้นการเข้าถึงบางโพส เพราะถ้าคุณพลาดอะไรมาล่ะก็ ..

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการวิเคราะห์จากพฤติกรรมการกด Like ใน Facebook เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนทางไหน ก็มีทั้งเพื่อนที่ดี และเพื่อนที่ไม่ดีทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณในการเลือกคบคนของคุณ



dj อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

เตือน! ซองใสกันนำ้อันตรายกว่าที่คิด


เทรนด์"ซองใสกันน้ำ"กลับมาทุกช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทุกคนต่างซื้อเป็นเครื่องป้องกันทรัพย์สินมีค่าเปียกน้ำ อาทิ สมาร์ทโฟนเครื่องเก่งราคาหลายหมื่น บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม และใช้ใส่เงินสดในวันเล่นน้ำ แต่ทราบหรือไม่ว่า หากซื้อใช้โดยไม่ระวัง อาจกลายเป็นภัยได้ดังนี้

1) กันน้ำ แต่ไม่กันโจร
ภัยที่หลายคนมองข้าม และตกเป็น"ผู้เสียหาย"ได้ง่ายที่สุด คือการนำทรัพย์สินมีค่าใส่ซองใสกันน้ำ แต่กลับนำมาคล้องคอไว้ด้านนอก ทำให้ล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ คุณรู้หรือไม่ว่า เพียงนำกรรไกรตัดที่เชือกคล้องคอ ทรัพย์สินเหล่านั้นของคุณจะถูกขโมยไปอย่างง่ายดาย ซึ่ง จส.100 รับแจ้งปีละกว่า 50 ราย ยังไม่นับที่ไปนั่งต่อแถวแจ้งความตามสถานีตำรวจอีกจำนวนมาก

2) ซองราคาถูก อาจกันอะไรไม่ได้
เชื่อหรือไม่ ซองกันน้ำราคาถูก 15-50 บาท ส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพกันน้ำได้จริง เป็นเพียงซองพลาสติกออกแบบสวยงาม มีซิปที่ปากซอง และเชือกคล้องคอเท่านั้น แต่ในการใช้งานจริง น้ำหรือความชื้นสามารถซึมเข้าไปได้หากซิปกันอากาศได้ไม่สนิท หรือเย็บตามตะเข็บไม่ดี แต่ใช่ว่าของถูกและดีจะไม่มีเสมอไป คุณสามารถเลือกซื้อซองที่มีคุณภาพได้ โดยการสังเกตคุณภาพซองมากกว่าความสวยงาม ตัวซองควรจะมีลักษณะเป็นถุงไร้ตะเข็บ ซิปเป็นสูญญากาศ1-2ชั้น ปากซองพับลงได้ และเชือกต้องไม่คล้องเข้าไปด้านในซอง

3) กันน้ำเข้า และกันน้ำออก
แน่นอนที่สุดไม่ว่าคุณจะซื้อซองมาดีมีคุณภาพแค่ไหน แต่หากคุณนำไปใช้งานในสถานที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่เปียกโชก อย่าลืมที่จะนำมาผึ่งให้โดนแดดบ้าง เพราะหากคุณปิดซองไว้ตลอด ความชื้นที่อยู่ภายในสูญญากาศนั่นแหละจะเป็นตัวทำลายสมาร์ทโฟนของคุณ ส่วนวิธีไล่ความชื้น สามารถใช้ไดร์เป่าผมลมเย็นได้ แต่ต้องเลี่ยงใช้ลมร้อนเพราะพลาสติกกับความร้อนมักไม่ถูกกัน

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมนำไปใช้ครับ หรือดีที่สุดหากต้องจะเล่นน้ำควรงดนำสิ่งของมีค่าติดตัวไป ให้นำไปเฉพาะสิ่งของหรือเงินเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และต้องนำซองใสกันน้ำคล้องคอใส่ไว้ในเสื้ออีกที จะได้เล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างมีความสุขและปลอดภัย


ดีเจ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

แชทไลน์ทุกวัน เคยใช้ปุ่มเหล่านี้ไหม?



คงไม่ต้องแนะนำตัวกันมากสำหรับแอพพลิเคชั่น Line เนื่องจากคนไทย 33 ล้านคนใช้ Line ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่เชื่อไหมว่ามีฟังค์ชั่นบางตัวที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณได้ไม่น้อย แต่คุณกลับไม่เคยใช้เลย ลองดู 5 ฟังชั่นพื้นฐานที่คุณอาจไม่เคยใช้

1) ค้นหาข้อความเก่า ใช้ปุ่ม Search ได้เลย อย่ามัวเสียเวลากับการย้อนค้นหาข้อความเก่าๆ โดยการเลื่อนประวัติการสนทนาไปเรื่อยจนกว่าจะเจอ ..หรือไม่เจอก็ไม่รู้ อันที่จริงแล้วคุณสามารถค้นหาข้อความเก่าๆของคุณโดยการพิมพ์คีย์เวิร์ดที่คุณจำได้ในช่องค้นหาได้เลย


 


ระบบจะทำการค้นหาคำนั้นๆ ในทุกห้องทุกกลุ่มการสนทนา โดยแสดงจำนวนข้อความที่พบและเรียงลำดับตามวันที่ให้คุณได้เลือกอย่างสะดวก



2) ค้นหารูปเก่า เลือกเฉพาะไฟล์รูปได้ หลายคนใช้แอพ Line ในการรับส่งไฟล์รูปภาพ เพราะสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัว ที่สำคัญยังใช้ห้องสนทนาเสมือนเป็นที่จัดเก็บภาพไปในตัวด้วย แต่.. สำหรับรูปภาพที่เคยรับส่งกันมานานแล้ว ต้องเลื่อนย้อนขึ้นไปไกลกว่าจะเจอ อันที่จริงมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น โดยการกดเครื่องหมายสามเหลี่ยมมุมขวาบนในห้องสนทนา


 

แล้วเลือกภาพถ่าย



คุณสามารถค้นหาเฉพาะภาพได้อย่างง่ายดาย ระบบจะแสดงภาพทั้งหมดตั้งแต่เปิดห้องสนทนานั้นๆขึ้นมาเลยทีเดียว



ยกเว้นกรณีที่ย้อนไปไกลมากๆ อาจกู้ข้อมูลเก่ามาไม่ได่ แนะนำหากคุณต้องการจะเก็บภาพไว้ในระยะยาวหรือถาวร คุณสามารถสร้างอัลบั้มไว้ในระหว่างคู่สนทนา หรือในกลุ่มก็ได้ คราวนี้ไม่ว่าจะปิดห้องสนทนาแล้วเปิดใหม่ รูปภาพเหล่านั้นจะยังอยู่ในอัลบั้ม


3) ส่งต่อรูปหรือวีดีโอได้เลย ไม่ต้องเซฟก่อน สำหรับคนที่ชอบส่งต่อรูปภาพต่างๆให้เพื่อน อย่ามัวเสียเวลากด Save แล้วค่อยส่งให้เสียเวลา ถ้ารูปภาพอาจไม่เท่าไร แต่ถ้าเป็นไฟล์วีดีโอขนาด 10-30 MB คงเปลืองเน็ตและเปลืองเนื้อที่จัดเก็บไม่ใช่น้อย เพียงคุณกดค้างที่รูปนั้นๆ




แล้วเลือก"ส่งต่อ"ได้ทันที 

 

สามารถเลือกส่งทีละคนหรือหลายคนก็ได้



4) ตั้งเพื่อเป็นรายการโปรด หรือเปลี่ยนชื่อให้จำง่าย เพื่อนใน Line มีหลายร้อยคน จะเลื่อนค้นหาแต่ละครั้งก็ตาลาย อันที่จริงคุณสามารถจัดเก็บไว้ในรายการโปรดได้ โดยเข้าไปที่โปรไฟล์เพื่อน แล้วกดเครื่องหมายชื่นชอบ




เพื่อนคนนั้นจะถูกดันขึ้นมาด้านบนเพื่อให้คุณค้นหาง่ายขึ้น




และคุณสามารถเปลี่ยนชื่อเพื่อนให้สามารถจำได้ง่ายด้วย 




5) ปิดการแจ้งเตือนกรุ๊ป ตอนนี้เชื่อว่าแต่ละคนคงมีกลุ่มไลน์ไม่ใช่น้อยทั้งเพื่อนฝูงญาติมิตร หากกลุ่มไหนที่ส่งข้อความหากันทั้งวันจนกวนใจคุณ แนะนำให้กดปิดการแจ้งเตือนเฉพาะกลุ่มได้ โดยการกดเครื่องหมายสามเหลี่ยมมุมขวาบนในห้องสนทนา



เลือกปิดการแจ้งเตือน เพียงเท่านี้ต่อให้ส่งข้อความอะไรกันมันก็จะไม่สั่นหรือส่งเสียงเตือนอีกต่อไป ไว้คุณว่างๆ ค่อยกลับมาไล่อ่านเอาละกัน




5 ฟังชั่น ที่กล่าวมา เป็นพื้นฐานของการใช้ไลน์ให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ใช้เป็นแล้ว อย่าลืมบอกต่อกันนะครับ


by DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

"ปูชักสะพานยก" ปูราคาชาวประมง @ชะอำ



"อุตส่าห์ขับรถไปไกลถึงหาดชะอำ กลับต้องจ่ายเงินกินปูม้าราคากทม. เฉลี่ยแทบทุกร้านขายกันกิโลกรัมละ 450-550 บาท ถ้ากินราคาประหยัดก็ได้แค่ลูกปู แต่ถ้าเอาปูไซส์ใหญ่สัก 3 ตัว รับรองแบงค์ 1,000 บาท แทบไม่ได้ตังค์ทอน ไม่ได้ต่างกับนั่งกินอยู่กทม. ไม่ต้องเสียเวลาเหนื่อยขับรถด้วย"

ใครที่เคยเสียอารมณ์แบบนี้ ผมแนะนำให้มาที่นี่เลยครับ "ปูชักสะพานยก" ใกล้หาดชะอำ จ.เพชรบุรี ที่นี่เป็นชุมชนชาวประมง มีจุดเด่นในการเก็บรักษาปูเป็น




โดยชาวประมงจะนำปูเป็นๆเก็บไว้ในถุงตาข่าย แช่ไว้ในน้ำทะเล และผูกยึดกับราวสะพาน

 

เมื่อมีลูกค้ามาซื้อ จะชักปูขึ้นมาบนสะพาน



แล้วเทปูเป็นๆลงกาละมังให้เราเลือก


ราคาตั้งแต่กิโลกรัมละ 170 บาท 200บาท ไปจนไซส์ใหญ่สุดในวันนั้นกิโลกรัมละ 300 บาท



ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าพวกไซส์ใหญ่จริงๆคงส่งร้านอาหารหมดแล้ว แต่สำหรับผมปู 3 ตัวเกือบ 1 กิโลกรัม ก็ยิ้มออกแล้วครับ


ที่นี่นอกเหนือจากปูเป็นแล้ว ยังมีขายอาหารทะเลทุกชนิด



ราคาไม่แพงจนน่าเลือกซื้อไปหมด




ข้อจำกัดของที่นี่ เห็นทีจะเป็นเพียงที่จอดรถที่ค่อนข้างจำกัด หอมหวนแค่ไหนก็ทานเลยไม่ได้เพราะไม่มีที่ให้นั่ง ต้องหอบกลับไปที่พัก หรือไปเช่าเก้าอี้ผ้าใบริมหาด 5 ชั่วโมง 100 บาท ละกันครับ

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ที่ ททท. โปรโมทเป็น Unseen Thailand ใหม่ๆ มักมีข่าวเชิงลบในลักษณะว่าที่นี่เริ่มขายแพงไม่แพ้ริมหาด และรวมตัวกันขายแพงหมดทุกเจ้า ทำให้คนเงียบหายไปเยอะ มาถึงวันนี้แม้ตัวผมจะไม่ประสบเองโดยตรง แต่ขอแนะนำสำหรับการเลือกซื้อนะครับ




เวลาสอบถามราคาและเลือกขนาดปู ให้ถามไปเลยตรงไปตรงมา ซื้อน้อยหรือมากก็ต้องเขินอาย อยากกินสด กินแน่น กินไข่ ต้องหยิบเอง และหักลบน้ำหนักตะกร้าด้วย พึงพอใจแล้วค่อยตกลงจ่ายเงิน แนะนำว่าไม่ควรต่อรองราคา แต่ให้ขอเป็นการแถมจะดีกว่า


จากนั้นเมื่อได้ปูที่ต้องการแล้ว ให้ดูขั้นตอนการนึ่งหรือปรุงสุกด้วย เพราะมีบางคนเคยบอกว่ามีแม่ค้าขี้โกงมักหยิบปูออกุหรือสลับเปลี่ยนปูตัวเล็กในขั้นตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้อย่าลืมนับจำนวนก่อน ซึ่งแน่นอนอาหารทะเลชนิดอื่นก็เช่นกันครับ



ต่อมาถ้าเข้าสู่กระบวนการนึ่งแล้ว ถือว่าวางใจได้ระดับนึง แต่บางครั้งแม่ค้าขายปูและแม่ค้ารับปรุงสุกอาจทำเป็นคนละร้านกัน เพื่อมาคิดค่านึ่งภายหลัง 50 บาท และค่าน้ำจิ้มอีก 50 บาท ขอให้เตรียมรับมือให้ดีครับ

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งของการไปสัมผัสบรรยากาศด้วยตนเอง ผู้ที่สนใจไปลอง คลิ๊กดูตำแหน่งที่นี่ได้เลยครับ

By DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

ถึงเวลาแก้ปัญหา"หลังคอนเสิร์ตเลิก"ในเมืองทองแล้วหรือยัง ?



จากปัญหาการเดินทางขากลับหลังงานคอนเสิร์ตใหญ่แต่ละครั้งในอิมแพคเมืองทองธานีเสร็จสิ้นในช่วงดึก ทั้งปัญหามิจฉาชีพขูดรีดค่าโดยสาร ปัญหารถสาธารณะไม่เพียงพอ และปัญหารถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร  ที่มีร้องเรียนผ่าน จส.100 ทุกคืนวันเสาร์-อาทิตย์


ล่าสุด จส.100 ได้รับการติดต่อจาก คุณพงศิกร โตสำราญ ผู้ดูแลด้านระบบรถสาธารณะ ของอิมแพคเมืองทองธานี(Transport Supervisor) อธิบายว่า ตามปกติคิวรถทั้งหมดจะหมดเวลา 4 ทุ่มตรง แต่กรณีมีคอนเสิร์ตหรืองานขนาดใหญ่ จะมีการขยายเวลารับส่งจนกว่าผู้โดยสารตามจุดขึ้นลงรถจะหมด ประกอบด้วย

1) รถตู้จำนวน จำนวน 100 คัน แบ่งคิวปลายทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ BTSหมอชิต เดอะมอลล์งามวงศ์วาน รามคำแหง รังสิต และบางนา

2) รถสองแถว จำนวน 30 คัน แบ่งคิวปลายทางถนนแจ้งวัฒนะ และถนนติวานนท์

3) รถจักรยานยนต์ จากวินแจ้งวัฒนะ และติวานนท์ จำนวน 50 คัน มีจุดเรียกที่ฝั่งตรงข้ามธันเดอร์โดม และศาลตายาย ใกล้อารีนา

4) จุดขึ้นรถแท็กซี่ ที่มีเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวเรียกรถ บริเวณลานมะพร้าว ใกล้อารีนา

ทั้งนี้ตามจุดขึ้นรถของอิมแพคฯ จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกในการเรียกรถ และคอยตรวจสอบจำนวนผู้โดยสารตกค้าง แต่ปัญหาสำคัญคือในช่วงเวลาที่คอนเสิร์ตเลิกใหม่ๆ จะมีผู้โดยสารต้องการรถพร้อมกันกว่า 10,000 คน ซึ่งทำให้รถไม่เพียงพอในช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นช่องว่างให้มีมิจฉาชีพฉวยโอกาสดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้เคยประสานงานตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เข้ามาดูแล แต่หากจะให้ครอบคลุมทั้งหมดอาจต้องให้บริษัท บางกอกแลนด์ฯ เจ้าของพื้นที่เป็นผู้ดำเนินการด้วย


ขณะที่ นายบุญธรรม เจริญวัย ผู้ช่วยผู้จัดงาน อิมแพคเมืองทองธานี เปิดเผยนโยบายการดูแลลูกค้าว่า ตามปกติจะมีคณะทำงานประชุมดูแลรถสาธารณะ ทั้งการกำหนดจุดขึ้นลงรถ และการกำหนดราคาค่าโดยสาร แต่ปัญหาสำคัญคือเมืองทองธานีเป็นพื้นที่เปิดกว้าง ทำให้มี"รถขาจร"เข้ามารับส่งผู้โดยสารและยากต่อการควบคุม โดยเฉพาะปัญหารถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร และไม่ใช้มิเตอร์ค่าโดยสาร รวมทั้งปัญหาวินจักรยานยนต์จากภายนอก ขูดรีดค่าโดยสาร 400-500 บาท เพื่อรับส่งจากอิมแพคฯ ออกไปถนนใหญ่ด้วย


สำหรับผู้ที่พบปัญหารถสาธารณะภายในอิมแพคเมืองธานีสามารถติดต่อสอบถามและร้องเรียนได้ที่เบอร์ 02-833-6194 ,02-833-5445 โดยเฉพาะผู้ที่พบปัญหารถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร ให้แจ้งทะเบียนรถเพื่อทำการขึ้นแบล็คลิสต์ภายในเมืองทอง และแจ้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ กรมการขนส่งทางบกที่เบอร์ 1584 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนผู้ที่พบมิจฉาชีพขูดรีดค่าโดยสาร แจ้งได้ที่ สภ.ปากเกร็ด โทร. 02-582-0173


แม้ว่าข้อมูลที่กล่าวมาจะเป็นแนวทางการดูแลของอิมแพคเมืองทอง ที่ดูเหมือนจะครอบคลุมพอสมควรกับการรองรับผู้โดยสาร แต่ดูเหมือนว่าในทางปฏิบัติจริงยังมีอีกหลายส่วนที่ยังเป็นช่องโหว่ และยังไม่ได้รับความประทับใจจากผู้มาร่วมงานที่ต้องเดินทางเข้าออกโดยไม่มีรถส่วนตัว



มีหลายคนที่เคยประสบปัญหาเดียวกัน ซึ่งการแก้ไขคงยกหน้าที่หรือโทษใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ คงต้องถึงเวลาแล้วล่ะครับที่ควรหาทางออกอย่างจริงจัง


by DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฝนตกน้ำท่วม กทม. ทำอะไร?



"ท่วมอีกแล้วเหรอ... เพิ่งมาทำอะไรตอนนี้... ไม่เตรียมพร้อม... เพิ่งทำรึไง" นี่คือตัวอย่างถ้อยคำตำหนิของคนกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่ง ที่อาจยังไม่เคยทราบการทำงาน แต่วิจารณ์กันโดยใช้ความรู้สึกล้วนๆ และเผลอคิดไปเองว่าเป็นแบบนั้น ผู้คนต่อว่าและโทษสารพัดสิ่งอย่าง แต่ที่โดนเต็มๆ คงเป็นหน่วยงานใดไปไม่ได้ นอกจาก กรุงเทพมหานคร ที่มีสำนักการระบายน้ำดูแลรับผิดชอบเป็นหลัก ผมจึงอาสาหาคำตอบให้ โดยหลังจากฟ้าฝนสงบ ผมได้เดินทางไปที่สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร2 เขตดินแดง เพื่อเคาะประตูขอข้อมูลและแอบดูว่าในแต่ละวัน เจ้าหน้าที่สำนักการระบายน้ำเขาทำอะไรกันบ้าง? เป็นอย่างที่เราเข้าใจกันไปเองหรือเปล่า?

ทุกวัน ภายในอาคารสำนักการระบายน้ำ จะมีเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับปฏิบัติงาน จนถึงวิศวกรทำงานอยู่ ซึ่งระดับบริหารมีหน้าที่เฝ้าจอคอมพิวเตอร์ คอยดูปริมาณน้ำในสถานีสูบน้ำทุกจุดในกรุงเทพมหานคร ตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศและเรดาร์ตรวจอากาศ โดยระดับปฏิบัติการทุกคนจะมีวิทยุสื่อสารที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีเจ้าหน้าที่ประจำการแต่ละสถานีสูบน้ำทุกแห่ง เพื่อคอยตรวจวัดปริมาณน้ำ และรักษาระดับน้ำในคลองให้เป็นปกติ


ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูฝนจะมีการยกระดับเฝ้าระวังมากกว่าเดิม ขณะที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามนอกจากคอย
ลอกท่อแล้ว ต้องออกไปเก็บขยะที่ลอยมาติดตะแกรงหน้าเครื่องสูบน้ำทั้งผักตบชวาและขยะ ซึ่งจะมีตารางเวลาและรอบการทำงานตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเย็นทุกวันเป็นปกติ


สำหรับกรณีเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้ามืดนั้นมีปริมาณ 174 มม. ถือว่ามากกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกรวมตลอดทั้งเดือน(150 มม.) ทำให้เช้าอันสดใสในวันทำงาน และบังเอิญเหลือเกินเป็นวันทะเลโลก(World Ocean Day) กลายเป็นทะเลกรุงเทพฯซะอย่างนั้น ลองคิดภาพตามนะครับ ตักน้ำมาหนึ่งขัน แล้วเทลงหลอดดูดน้ำ (จะใช้หลอดชาไข่มุกเลยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน) ยังไงน้ำก็ต้องล้นออกมาครับ แต่พอมาเป็นท่อระบายน้ำจริง น้ำลงไม่ได้ก็ท่วมอยู่บนถนน


สิ่งที่พอจะทำได้คือการเร่งสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำออกเพื่อระบายลงสู่แม่น้ำให้ถนนแห้ง ซึ่งทุกปลายคลองในกทม.ที่ติดแม่น้ำจะมีสถานีสูบน้ำอยู่แทบจะทุกคลอง ยกเว้นบางพื้นที่ของเอกชนอาจจะไม่มี เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสร้าง เช่น ซอย อ.ส.ม.ท. ที่แยกผังเมือง แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถทิ้งได้ ต้องใช้วิธีติดตั้งเครื่องสูบน้ำทดแทน ที่กล่าวมานี้ยังไม่นับปัจจัยพื้นฐานที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และทรุดตัวต่ำลงเรื่อยๆทุกปี ข้อมูลจากกรมแผนที่ทหาร ระบุว่า กรุงเทพมหานคร ทรุดลงปีละ 2 ซม. โดยเฉพาะด้านบางกะปิ และรามคำแหง



ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร พบว่า ประสิทธิภาพในการระบายน้ำที่มีอยู่นั้น สามารถใช้ได้จริงมีเพียง 30% หรืออาจน้อยกว่านี้ ซึ่งน่าตกใจนะครับว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เนื่องจากในความเป็นจริงมีทั้งขยะและคราบไขมันจากการประกอบอาหารไปอุดตันตามท่อ ระบายน้ำจำนวนมาก (อ่านเพิ่มได้ที่นี่) ดังนั้นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของปัญหา"น้ำท่วม" ในกรุงเทพมหานครนั้น คือปัญหา"ขยะและน้ำเสีย" ซึ่งถือเป็นปุ๋ยอย่างดีให้กับผักตบชวาที่เห็นตามคลองอีกด้วย


ถ้าเป็นในต่างประเทศจะมีการแยกท่อและจัดเก็บภาษีในการบำบัดอย่างชัดเจน ต่างกับในกทม. ที่น้ำเสียจากตลาดสด ร้านค้า ร้านอาหารที่ไม่มีบ่อดักไขมัน การซักผ้า ล้างจานของชุมชนที่รุกล้ำพื้นที่ริมคลอง และยังมีทิ้งทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ตุ่มน้ำยังมีเลย


ขยะต่างๆพวกนี้ลอยมาติดหน้าสถานีสูบน้ำ เพราะคนบางกลุ่มมองแค่ว่าปัดๆให้พ้นตัวเองไปก็พอ ซึ่งขยะที่ผู้คนทิ้งลงไปวันละชิ้นสองชิ้น ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดปัญหาในการระบายน้ำทั้งสิ้น อย่างล่าสุด ตัวเฟืองหมุนของไฟเเช็ค เข้าไปติดตะแกรงดักขยะของเครื่องสูบน้ำ จนเครื่องเกือบจะชำรุดเสียหาย ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาในการซ่อมแซมอีก ทั้งนี้เ
ครื่องสูบน้ำของทุกสถานี เราต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ออกแบบและสร้างมาเพื่อรองรับพฤติกรรมการทิ้งขยะในคลองจำนวนมากเช่นนี้


ซึ่งปริมาณขยะในกรุงเทพมหานครพบว่ามีปีละ 400,000 ตัน หรือเฉลี่ยวันละกว่า 1,000 ตัน แต่สำหรับปีนี้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีกครับ ผู้ว่าฯกทม. ระบุว่าผ่านมาครึ่งปีมีปริมาณขยะแล้ว 300,000 ตัน !!!


ถึงตรงนี้ บางคนก็อาจยังคิดว่าเป็นเรื่องของกรุงเทพมหานคร ในการรับผิดชอบขยะนั่นแหละครับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ถูกต้อง แต่ทรัพยากรบุคคลจำนวนเพียงหลักหมื่น ไม่สามารถดูแลประชากรกรุงเทพมหานครจำนวนกว่าสิบล้านได้หรอกครับ ง่ายที่สุดต้องช่วยกัน อาจยังไม่ถึงขั้นแยกขยะหรอกครับ แค่เตือนตัวเองและคนใกล้ตัวทิ้งขยะให้ถูกที่ก็พอ ปัญหาน้ำท่วมจะลดลงอย่างแน่นอน




by อัครวิญญ์ เลิศสดใส ,อภิสุข เวทยวิศิษฏ์


ขอขอบคุณภาพจาก Twitter คุณ @Iw_Eii