วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ชีวิตช่างน่าเศร้า.. 3 ทางออกสุดเซ็ง! หากถูกจอดรถขวางหน้าบ้าน



     การจอดรถบนถนนสาธารณะ กีดขวางการจราจร หรือกีดขวางทางเข้าออกบ้านของผู้อื่น นับเป็นปัญหาสังคมที่พบได้ใกล้ตัว และคาดว่าหลายคนเคยประสบกันมาบ้างแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่า สำหรับ ‘เจ้าของบ้าน’ กลับไม่มีทางออกที่แท้จริง มีแต่ต้องก้มหน้ารับสภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มีวิธีตามที่ปฎิบัติกันมา ดังนี้ 





1. แจ้งตำรวจ 


     วิธีแรกๆที่เจ้าของบ้านจะทำ ในทางปฎิบัติตำรวจจราจรหรือสายตรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุอย่างเร็วที่สุด 10 นาที ถ้าติดงานอื่นก็ต้องรอตามลำดับ แต่เมื่อมาถึงสิ่งที่มักจะทำก็คือ ‘ล็อคล้อ’ ซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมาย แต่ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการจะออกจากบ้านขณะนั้น ครั้นจะนำรถยกมาดำเนินการก็อาจไม่ได้สะดวก ไหนจะข้อจำกัดเรื่องรถยก ที่จอดรถ และการรับผิดชอบรถ ส่วนในระยะยาวการติดป้ายห้ามจอดก็เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา งบประมาณ และรายละเอียดอื่นๆอีกมาก




2. แจ้งสำนักงานเขต – ฝ่ายปกครอง


     วิธีการในเชิงกำกับดูแลความเรียบร้อย คือการแจ้งฝ่ายปกครอง สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร อบต. จังหวัด ฯลฯ ซึ่งการแจ้งร้องเรียนทางโทรศัพท์ หรือบอกกล่าวปากเปล่า ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อระเบียบราชการ คงต้องทำหนังยื่นคำร้องก่อน จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ ถ้าเห็นว่าเกี่ยวข้องกับทางสาธารณะที่มีผลกระทบกับคนหมู่มาก เช่น มีตลาด หรือมีบริษัทห้างร้าน ฯลฯ ก็คงเป็นขั้นตอนการกับการดูแลตามกฎหมาย  ..ที่กล่าวมานี้ใช้เวลาไม่แน่ต่ำกว่า 30 วัน





3. ฟ้องศาล พึ่งกระบวนการยุติธรรม


     การฟ้องร้องจนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล น่าจะเป็นสิ่งท้ายๆที่มักจะทำกัน เพราะต้องมีขั้นตอนในการรวบรวมพยานหลักฐาน การตั้งทนาย การสู้คดี ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่เดือดร้อนจริงๆหลายบ้านก็เลือกที่จะไม่ทำ แต่สำหรับข้อกฎหมายทั่วไปที่มักจะเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว คือ พรบ.จราจรทางบกฯ มาตรา 54 – 64 โทษปรับสูงสุดไม่เกิน 500 บาท และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 สร้างความเดือดร้อนรำคาญ โทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท นอกนั้นอาจขี้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุดคงต้องใช้เวลาหลายเดือนไปจนถึงหลายปี




     ที่กล่าวมานั้น คือการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่พลเมืองทุกคนต้องปฎิบัติ แต่ในชีวิตจริงดูเหมือนว่า.. แทนที่ ‘เจ้าของรถ’ จะเดือดร้อน กลับกลายเป็น ‘เจ้าของบ้าน’ ถูกเอาเปรียบและไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ใครไม่เดือดร้อนก็มองว่าเรื่องเล็ก ใครเคยมีประสบการณ์เดือดร้อนก็เรื่องใหญ่ หากข่าวเหตุการณ์ #ป้าทุบรถ' จะเป็นบทเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญ สังคมก็น่าอยู่ยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นคงพูดได้ไม่เต็มปากว่า เราต้องไม่สนับสนุนความรุนแรง ..แต่กลับเพิกเฉยต่อสิทธิของผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ




Cr.jr-rsu


     แท้ที่จริงแล้ว ทางออกนั้นกลับง่ายนิดเดียว เพียงคุณ ‘คำนึงถึงผู้อื่น’ เคารพสิทธิของผู้อื่น ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน รับรองปัญหานี้จะไม่เกิดครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น