วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

6 เทคนิคการซื้อของออนไลน์




      ร้านค้าออนไลน์ที่มักจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม ถือเป็นสวรรค์ของเหล่านักช็อปมืออาชีพ แต่สำหรับบางท่านที่ยังลังเลว่า การซื้อของออนไลน์นั้นปลอดภัยหรือไม่ จะเสียเงินฟรีไหม ของมีคุณภาพอย่างในภาพรึเปล่า บทความนี้จะช่วยแนะนำเทคนิคพื้นฐานที่พอจะช่วยให้การซื้อของออนไลน์ของคุณ'รัดกุม'มากยิ่งขึ้น ปิดโอกาสถูกหลอกให้ได้มากที่สุด



1. รู้จักประเภทของร้านค้าออนไลน์ก่อน

1.1 แม่ค้าออนไลน์

      เป็นประเภทบุคคลต่อบุคคล คนขายนำมาขายเอง มีทั้งขายเล่นๆสนุกๆ ของมือสอง และขายจริงจังจดทะเบียนเป็นแบบ SME เช่น นำเสื้อที่ไม่ใช้แล้วมาขาย ขายโทรศัพท์มือสอง การรับของมาขายอีกทอด การใช้โซเชี่ยลมีเดียอย่าง Facebook และ IG มาช่วยขาย เป็นต้น




       ข้อควรรู้ : สินค้าหลากหลาย ราคาไม่แพง ต่อรองได้ มีทั้งผู้ค้าที่มีความจริงใจและมิจฉาชีพแฝงตัว ถือว่ามีความเสี่ยงพอสมควรถ้าต้องชำระเงินก่อน หรือไม่ไปรับสินค้าด้วยตนเอง

       1.2 บริษัทขายเองทางออนไลน์

ด้วยความที่การซื้อของออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทห้างร้านต่างเปิดช่องทางขายของตนเอง เช่น Apple Store, JBL, และอื่นๆอีกมากมาย




      ข้อควรรู้ : สินค้าเป็นมาตรฐาน เพราะบริษัทที่ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายมาขายเอง ความเสี่ยงน้อยถึงไม่มีเลย สะดวกต่อการซื้อ มีการรับประกัน

      1.3 แหล่งซื้อของออนไลน์

เปรียบเสมือนศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้า ทางออนไลน์ ที่รวบรวมบริษัทร้านค้า และแม่ค้าออนไลน์ไว้เองอีกที หรือบางทีก็ขายเองด้วย เช่น LAZADA, JD, KAIDEE, Shopee, Alibaba




       ข้อควรรู้ : สะดวกต่อการค้นหาสินค้าจากหลายร้านค้าในที่เดียว มีกลไกที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เช่น การรีวิว การให้คำแนะนำต่างๆ การเก็บเงินปลายทาง มักมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเพิ่มมากกว่าการซื้อจากบริษัทโดยตรง ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางถึงน้อยมาก

        1.4 อื่นๆ  ผู้ค้าที่ลงทะเบียนเป็นร้านค้า, ร้านค้านำเข้าจากต่างประเทศ ที่อาจไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ เช่น การแฝงตัวมาขายตามแหล่งซื้อของออนไลน์ และตามโซเชี่ลมีเดียต่างๆ




        ข้อควรรู้ : ผู้ค้าประเภทนี้มักมีส่วนลดที่คุ้มค่าชวนซื้อ หรือมีสินค้าที่หาซื้อได้ ถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หากต้องการซื้อควรเลือกแบบเงินปลายทางเท่านั้น

2. เปรียบเทียบราคาจากหลายร้านค้า

        เมื่อเรามีสินค้าที่ต้องการแล้ว ควรเปรียบเทียบราคาจากหลายร้านค้าตามข้อ 1 แล้วดูตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะเรารู้ถึงความเสี่ยงแล้ว ทั้งนี้การซื้อของออนไลน์ไม่ควรตัดสินใจจากร้านเดียว ต้องเปรียบเทียบให้มากที่สุด หลักคือ ความคุ้มค่า ความสะดวก และความปลอดภัย ต้องครบถ้วน การตัดสินใจจากร้านเดียวอาจตกเป็นเหยื่อทางการตลาดได้ และอาจเสียใจภายหลัง




3. อ่านรีวิว คอมเมนท์

         ตัวช่วยสำคัญในการซื้อของออนไลน์ คือ ต้องอ่านรีวิวจากผู้ซื้อ ดูดาวให้คะแนน ความคิดเห็น ความถี่ในการขายของ ช่วงเวลาเป็นปัจจุบันหรือไม่ ทั้งนี้ควรอ่านรีวิวให้มากที่สุด เพราะในจำนวนผู้รีวิวก็มีโอกาสเป็นหน้าม้า (ม้า ,ฮี้ๆ) ได้เหมือนกัน ที่สำคัญหากคุณซื้อไปแล้วอย่าลืมกลับมาช่วยรีวิวแบ่งความคิดเห็นให้คนถัดไปด้วย




4. ดูสินค้าให้แน่ใจ

         ก่อนตัดสินใจซื้อ คือ ช่วงที่คุณได้เปรียบที่สุด อย่าเพิ่งรีบร้อน ให้ดูสินค้าจนพอใจก่อน ไม่ต้องเกรงใจ หากรูปที่โพสต์ขายยังไม่พอใจ ให้ขอดูจริงเสียก่อน หรือหากคุณซื้อสินค้าที่มีตามเคาท์เตอร์ปกติ ก็ควรไปดูของจริงมาให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้หากเป็นสินค้ามือสอง ก็ควรไปรับของด้วยตนเอง มิเช่นนั้นอาจจะมีปัญหาภายหลังได้




5. การชำระเงิน

          จำไว้เลยว่าหากคุณชำระเงินไปแล้ว คุณมีแต่เสมอตัวกับเสียเปรียบ ดังนั้นกฎเหล็กเลยคือ อย่าชำระเงินจนกว่าจะแน่ใจ! การโอนเงินระหว่างบุคคลเสี่ยงสุด หากไม่ไปรับสินค้าด้วยตนเอง ก็ควรซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น วอลเลท และบัตรเครดิต เพราะยังพอมีวิธีอายัติเงินได้ บางแอปพลิเคชั่นอย่าง Shopee ดีหน่อย แม้เราชำระเงินไปแล้ว เงินจะยังไม่โอนไปให้ผู้ขาย จนกว่าเราจะกดยืนยันว่าได้รับสินค้าแล้ว ทั้งนี้หากสินค้ามูลค่าสูง อาจใช้บริการเก็บเงินปลายทาง หรือว่าจ้างบริการ messenger ต่างๆเช่น LINE Man มาเก็บเงินปลายทางก็ได้




6. การคืนสินค้า - คืนเงิน

         ควรอ่านเงื่อนไขข้อนี้ให้แน่ชัด ส่วนใหญ่ถ้าเป็นแม่ค้าขายเองมักจะคืนกันลำบากกว่า หรืออาจจะไม่ให้คืน ซื้อแล้วซื้อเลย แต่ถ้าเป็นบริษัทร้านค้า ก็อาจจะคืนได้ภายใต้เงื่อนไข เช่น สินค้ามีตำหนิ หรือบางร้านก็อาจจะยอมรับเหตุผลด้านการเปลี่ยนใจก็มี แต่เวลาคืนสินค้านั้นจำไว้ว่าย่อมไม่สะดวกเหมือนเวลาเขาส่งมาแน่นอน เพราะเราต้องเสียเงินค่าจัดส่งกลับไป หรือบางครั้งอาจคืนเงินมาในรูปแบบของวอลเลท ไม่ใช่เงินสด ก็เป็นได้ ควรศึกษาให้แน่ชัดตั้งแต่ก่อนซื้อ ที่สำคัญพวกกล่องหรือหีบห่อการจัดส่งก็ต้องอยู่ในสภาพนี้ด้วยนะครับ




อภิสุข เวทยวิศิษฏ์


ภาพจาก freepik

'จอดรถซ้อนคัน' วัฒนธรรม(มักง่าย?)แบบไทยๆ ผิดที่'ตัวบุคคล'หรือ'สถานที่' ..!?




    ทะเลาะกันมานักต่อนักกับปัญหาการจอดรถกีดขวางกัน ตั้งแต่ประเด็นการจอดรถกีดขวางหน้าบ้านจนเกิดการทุบรถ มาถึงรอบนี้ที่ชายหาดบางแสน จากข่าว 'จอดรถซ้อนคัน' โดยไม่ใส่เกียร์ว่าง(N) ไว้ให้คันในได้เข็นเลย แถมยังโกรธที่โดนต่อว่าในความผิดของตนเองเสียอีก งานนี้ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะดาราหรือคนดัง เอาเป็นว่าใครเจอกับตัวก็น่าโมโหเหมือนกันหมด




   หากมองเจาะลงไปถึงปัญหาการจอดรถซ้อนคันนั้น ในกลุ่มประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่มักไม่ทำกัน ด้วยเหตุผลหลักเลยคือ 'เป็นการรบกวนสิทธิของผู้อื่น' กีดขวางผู้อื่น จะออกก็ต้องเสียเวลาเข็น เขาจึงออกแบบที่จอดรถให้เพียงพอแต่แรก ทั้งการจอดแบบทแยงมุม การสร้างตึกจอดรถ การสร้างที่จอดรถใต้ดินหลายชั้น ฯลฯ แลกกับการเก็บเงินค่าจอดที่ผู้ขับรถทุกคนต้องยอมจ่าย ยังไม่นับวิธีการควบคุมปริมาณรถในรูปแบบอื่นๆ ตั้งแต่การจัดเก็บภาษีรถ ไปจนถึงการอำนวยความสะดวกให้ใช้รถสาธารณะ




    กลับมามองที่บ้านเรา มีปัจจัยหลายอย่างที่เราทำไม่ได้อย่างประเทศอื่นเขา ท้ายที่สุดบีบให้คนต้องใช้รถส่วนบุคคลจำนวนมาก ขาดการควบคุมปริมาณรถ และเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ซึ่งการจอดรถซ้อนคัน ส่วนหนึ่งก็เป็นพื้นที่จอดรถไม่เพียงพอ ดังนั้นเจ้าของพื้นที่และผู้ประกอบการต่างๆ มีหน้าที่ต้องจัดหาพื้นที่ให้เพียงพอ ถือเป็นมาตรการความรับผิดชอบต่อลูกค้าและสังคม ไม่ควรออกแบบให้รถสามารถจอดซ้อนคันได้ตั้งแต่แรก เช่น การออกแบบให้รถจอดแนวทแยง การตีเส้นช่องจอดรถให้พอดีโดยไม่เหลือพื้นที่ให้จอดขวาง หรือหากจำเป็นต้องออกแบบให้จอดซ้อนคัน ควรจัดหาพนักงานคอยบริการให้เพียงพอ ตั้งแต่การคอยเตือนลูกค้าว่าอย่าลืมปลดเบรคมือ ไปจนถึงการช่วยบริการเข็นรถ




     สำหรับข้อแนะนำในการจอดรถที่ใครก็นำไปใช้ได้ มีดังนี้ 

   1. การจอดรถทุกครั้ง ควรคำนึงถึง'สิทธิของผู้อื่น'ด้วย อย่าเอาแต่ตนเองสะดวก ควรหาช่องจอดรถให้ได้ทุกครั้ง ไม่จอดขวางคนอื่นถ้าไม่จำเป็น



   2. หากจำเป็นต้องจอดขวางชั่วคราว ควรนั่งอยู่ที่รถด้วย หรืออยู่บริเวณที่ใกล้รถที่สุดเพื่อคอยมองว่ารถคันในจะออกหรือไม่ หรือแปะกระดาษทิ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อ พร้อมข้อความที่เป็นมิตร




   3. หากจำเป็นต้องจอดขวางซ้อนคัน ต้องปลดเบรคมือทุกครั้ง ตรวจตำแหน่งเกียร์ต้องอยู่ที่ตำแหน่ง N หรือเกียร์ว่าง เพื่อให้รถเข็นได้ ที่สำคัญก่อนเดินห่างจากรถ ต้องทดลองเข็นรถตนเองดูสักรอบ ว่าสามารถเคลื่อนได้สะดวกหรือไม่



   4. รถขนาดใหญ่ เช่น รถตู้ รถปิคอัพ รถแวน เอสยูวี ไม่ควรจอดขวางผู้อื่น เพราะรถน้ำหนักมากก็เข็นยาก หากเป็นผู้หญิงมาตัวคนเดียวย่อมลำบาก



    5. นึกถึงใจเขาใจเราเสมอ เช่น หากจอดกีดขวางผู้อื่นจอดลานกลางแจ้งร้อนๆ แล้วต้องมาเข็นรถหนักๆร้อนๆ เป็นเราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าไม่ชอบก็จงอย่าทำ



    อย่างไรก็ตาม คนที่จอดรถในช่องถูกต้อง ก็ควรมองอีกมุมหนึ่ง บางทีคนจอดขวางคุณก็คงไม่ได้อยากจอดซ้อนคันหรอก เขาอาจจะไม่มีที่จอดจริงๆ หรือลืมดึงเบรคมือก็เป็นได้ ถ้าใจเย็นพอจะควบคุมอารมณ์ได้ก็ควรมองข้ามไป ใครจะรู้จากความขัดแย้งเล็กๆ อาจขยายวงเป็นเรื่องราวใหญ่โตโดยไม่จำเป็น

    บทความโดย : อภิสุข เวทยวิศิษฏ์ (ผู้ดำเนินรายการ จส.100)

ไข่ดิบ อันตรายหรือไม่ ?




   เมนูไข่ดิบ มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเมนูจานพิเศษ บ้างก็เพิ่มรสชาติความอร่อย บ้างก็เป็นการเพิ่มมูลค่า ล่าสุดเมนูยอดฮิตอย่าง ไข่ดองซีอิ๊ว ที่ถูกยกว่า อร่อย มัน คล้ายทานไข่ปู ทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หรือเมนูของหวานอย่าง ไข่แข็ง ที่ทำให้ไข่เย็นเจี๊ยบ อร่อยปิดท้ายมื้อนั้นของคุณ

   คำถามมีอยู่ว่า... "ไข่ดิบ" ทานได้หรือไม่? อันตรายหรือไม่? ทีมข่าว JS100 สอบถาม รศ.ดร.ครรชิต จุดประสงค์ อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การอาหารเพื่อโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล Q/A ดังนี้




   (ภาพจาก : healthanddynamic)


  ไข่ดิบ อันตรายไหม?


  แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ด้านนอกเปลือกไข่ มักมีเชื้อโรคต่างๆอยู่ เพราะไข่ออกมาจากระบบร่างกายของไก่ และส่วนมากมักได้ล้างไข่ก่อนนำไปประกอบอาหาร และ 2.ด้านในเปลือกไข่ ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยตรง แต่มีสารซาลโมเนลลา (Salmonella) เป็นแบคทีเรียที่อาจทำให้อาหารเป็นพิษ ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล




 (ภาพจาก : coach.nine.com.au)


   ไข่ดิบ หรือ ไข่สุก มีประโยชน์มากกว่ากัน?

  ในไข่ดิบ มีสารยับยั้งการดูดซึมวิตามิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินได้เต็มที่ เปรียบเทียบคือ สมมุติไข่ฟองละ 5 บาท แต่เราได้คุณค่าของสารอาหารเพียง 2-3 บาท แต่ถ้าทำไข่ให้สุกโดยการใช้ความร้อน เชื้อโรคและสารเหล่านั้นจะหายไป ทำให้เราได้คุณค่าอาหารเต็มที่ ครบทั้ง 5 บาท


(ภาพจาก : best-herbal)


   ไข่ลวก ไข่ดาว ไข่เจียว ฯลฯ เมนูไหนดีที่สุด?

  ทั้งหมดคือการทำให้สุกด้วยความร้อน จึงดีต่อร่างกายทั้งหมด ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร แต่การใช้น้ำมันทอด ก็อาจทำให้มีสารอื่นๆตามมาอีกมากมาย ดังนั้น การต้ม หรือการลวก น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพียงแต่ต้องลวกให้ไข่ขาวเปลี่ยนเป็นสีขาว ถ้าไข่ขาวยังเป็นเมือกใส แปลว่ายังไม่สุก




(ภาพจาก Face Book : alergiainfantil)


    ทานชาบู จิ้มไข่ดิบ แบบชาวญี่ปุ่น ดีหรือไม่?

  ทานได้ ไม่ได้มีอันตรายใด เพราะผู้ทานมักลวกเนื้อสัตว์ให้ร้อนจัดก่อนนำลงไปจุ่มไข่ดิบขึ้นมา แล้วรอ 3-5 วินาทีก่อนรับประทาน ระหว่างนั้นความร้อนก็จะค่อยๆทำให้ไข่สุกเป็นสีขาว เปลี่ยนสภาพคล้ายกลายเป็นไข่ลวก




 (ภาพจาก : ijuyyasostory)


   ไข่ญี่ปุ่น สะอาดและมีคุณค่ามากกว่า?

  จากข้อมูลทางวิชาการ ไม่ว่าไข่ใบใดบนโลกใบนี้ต่างมีสารอาหารในไข่เหมือนๆกัน มีคุณค่าเท่าๆกัน ไม่ได้มีมากหรือน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าพูดถึงความสะอาดย่อมมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมฟาร์มเลี้ยงไก่ ชาวญี่ปุ่นอาจมีความละเอียดอ่อนมากกว่าเรา แต่ในบ้านเราก็มีหลายฟาร์มที่ยกระดับและพัฒนาไปไม่แพ้กัน ราคาก็อาจจะต้องสูงขึ้นตาม




(ภาพจาก : moshimoshi)


  ไข่ดองซีอิ๊ว อร่อย! อันตรายหรือไม่?

   ไข่ดองซีอิ๊ว เป็นไข่ดิบ นำมาปรุงรสด้วยซีอิ้ว เอร็ดอร่อยตามความชอบส่วนบุคคล แต่คุณค่าทางอาหารได้ไม่เต็มที่ตามข้างต้น นอกจากนี้ในซีอิ๊วยังมีรสเค็มจัด ทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดโรคอื่นๆตามมาอีกมาก อาทิ ความดันโลหิต โรคไต อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ที่ทานไข่ลวกถ้าใส่ซอสมากจนเกินไป ก็ได้รับโซเดียมมากเหมือนกัน




 (ภาพจาก : partiharn)


   ไข่แข็ง เย็นจัด ปลอดภัยหรือไม่?

  ไข่แข็ง หรือไอศครีมไข่แข็ง เป็นกระบวนการนำไข่ดิบมาประกอบเป็นอาหารหวานด้วยการใช้ความเย็น ความเย็นทำให้โปรตีนเปลี่ยนสภาพจากของเหลวกลายเป็นก้อน แต่ความเย็นไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อโรค แค่ทำช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อโรคเติบโตชั่วคราว ดังนั้น การทานไอศกรีมไข่แข็งก็เท่ากับการทานไข่ดิบนั่นเอง 


(ภาพจาก : openrice)


     สรุป ไข่ มีสารของแหล่งโปรตีนที่ดี หากคุณต้องการได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ ควรทานไข่ลวก หรือไข่ต้ม ดีที่สุด ส่วนเมนูอื่นๆ เช่น การทอด การเจียว ก็จะมีสารอาหารอื่นจากส่วนประกอบต่างๆรวมเข้าไปด้วย หรือหากคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบรับประทานไข่ดิบ แม้จะไม่ได้มีอันตรายต่อร่างกายโดยตรง แต่อาจทำให้คุณได้รับคุณค่าทางอาหารไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าอยากทานดิบจริงๆ แนะนำให้รับประทานไม่เกิน 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ส่วนมื้อปกติการทานไข่สุกนั้นย่อมดีต่อร่างกายที่สุด

อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

แยกขยะตามสีกันเถอะ! ขยะทั่วไปมัดถุง - ขยะชิ้นใหญ่ รอทิ้งทุกวันอาทิตย์




         นายชาตรี วัฒนเขจร ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ปัจจุบันจัดเก็บขยะชุมชนทั่วไป วันละ 10,700 ตัน/วัน โดยมีรถขยะ 2,000 คัน และพนักงานเก็บขยะ 10,000 คน เข้าดำเนินการวันละ 2 เที่ยว เวลา 21:00 - 05:30 น. ของทุกวัน ซึ่งขยะทั่วไปจะไม่รวมขยะที่มีขนาดใหญ่ เช่น ตู้ เตียง ที่นอน ฟูก กิ่งไม้ ฯลฯ เนื่องจากรถขยะจะจัดเก็บขยะด้วยระบบอัดขยะเข้าไปในรถ ทำให้ขยะชิ้นใหญ่อัดเข้าไปไม่ได้ อาจทำให้อุปกรณ์ของรถชำรุด

        สำนักงานเขตจะกำหนดการจัดเก็บขยะชิ้นใหญ่ทุกวันอาทิตย์ของเดือน ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีการนัดหมายในชุมชน นำรถบรรทุก 6 ล้อออกไปจัดเก็บให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดเพิ่ม แต่ปัญหาคือบางครั้งประชาชนไม่ทราบ เลยมักง่ายทิ้งทั่วไปตามลำคลอง ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย แนะสอบถามรอบโดยตรงกับทางสำนักงานเขตในพื้นที่ของแต่ละคน










         สำหรับการแยกขยะทั่วไปในครัวเรือน มีความสำคัญอย่างมาก ทำให้เกิดความเป็นระเบียบและรวดเร็วต่อการจัดเก็บ เพราะที่ตัวรถขยะจะมีถังแยกขยะอยู่บริเวณด้านหลังที่ติดกับคนขับ มีสัญลักษณ์บอกชัดเจน ไม่ได้ใส่รวมทั้งหมดแบบที่ประชาชนบางส่วนเข้าใจผิด โดยวิธีการแยกขยะสามารถแยกใส่ถุงและผูกเชือกหรือเขียนสัญลักษณ์สีได้ดังนี้

สีน้ำเงิน ขยะทั่วไป เช่น เศษกระดาษ เศษพลาสติก

สีเขียว ขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร ผัก ผลไม้

สีส้ม ขยะอันตราย เช่น แบตเตอร์รี่ ถ่าน

สีเหลือง ขยะรีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติก ขวดแก้ว


          ขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันลดขยะ เพราะกรุงเทพมหานครต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 7,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่การจับเก็บขยะจากครัวเรือนทำได้เพียง 500 ล้านบาท/ปี เท่านั้น






cr.สำนักการระบายน้ำ 

 อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

ชวนเปิดใจ! 'รพ.ศรีธัญญา' คนมาไม่ใช่ผู้ป่วย ใครก็มาขอคำปรึกษาได้




     "ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่ คนไทยทุกคนรู้จักแบรนด์'ศรีธัญญา' แต่กลับรู้จักในแง่ลบ เข้าใจผิดว่าเป็นโรงพยาบาลที่รักษาแต่คนบ้า แค่พูดชื่อก็ถูกหัวเราะเยาะ มองเป็นเรื่องตลก บางคนก็มองน่ากลัวเหมือนภาพยนตร์ที่เคยถ่ายทอดในอดีต แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น คนปกติก็สามารถมาขอคำปรึกษาได้ ไม่ได้แปลว่าต้องป่วยเสมอไป อยากสร้างความรู้สึกให้เกิดความเท่าเทียม ผู้ที่เข้ามา รพ.ศรีธัญญา คือคนปกติเหมือนคนทั่วๆไป" จากคำพูดของ"คุณดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค" นักแต่งเพลงชื่อดัง ชักชวนบรรดาสื่อมวลชนร่วมทำข่าวกิจกรรมเปิดบ้าน รพ.ศรีธัญญา แล้วคุณจะรักและกล้าออกไปบอกใครๆ ว่า "I am from ศรีธัญญา" 




     ชื่อ ศรีธัญญา มาจากศรีแห่งท้องทุ่งธัญญาหาร พร้อมเป็นเพื่อนกับผู้ป่วยด้วยโรคที่มองไม่เห็น สมัยก่อนพื้นที่ 1,000 ไร่แห่งนี้คือทุ่งหญ้าธัญญาหาร ต่อมาได้พัฒนาพื้นที่กว่าครึ่งเป็นกระทรวงสาธารณสุข และพัฒนา 400 ไร่ เป็น รพ.ศรีธัญญา ซึ่งผู้ป่วยจิตเวชสมัยก่อนจะมีให้บำบัดจิตด้วยการทำเกษตรกรรมด้วย หลายคนก็เป็นเกษตรกรมาก่อน แต่ปัจจุบันทุ่งหญ้าเหล่านั้นได้ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง อาคาร จัดเป็นสัดส่วนมากขึ้น มีระบบระเบียบและมาตรฐานมากขึ้น




     อาทิ อาคารผู้ป่วยนอกที่เปลี่ยนมาแล้วถึง 3 ครั้ง ดูดีไม่แพ้โรงพยาบาลเอกชน แผนกต่างๆมีความทันสมัย มีแผนกอายุรกรรมทั่วไป แผนกทันตกรรมทั้งสำหรับคนนอก และผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องมีผู้ดูแล มีตู้ตรวจเช็คบัตรคิวอัตโนมัติ จ่ายยาด้วยหุ่นยนต์ ห้องแอดมิดแบบ VIP




     หอพักผู้ป่วยในหลายอาคาร แยกชายหญิง ต้องแบกรับผู้ป่วยระยะยาวที่ระบุตัวตนไม่ได้ ไร้ญาติดูแล สถานบำบัดจิตหลายรูปแบบ ฯลฯ และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็สามารถใช้เป็นสวนสาธารณะ มีลู่วิ่งมีทางจักรยาน ร่มรื่น ดีต่อสุขภาพจิต ประชาชนทั่วไปก็สามารถมาออกกำลังกายได้




     สำหรับผู้ที่เข้ามาขอคำปรึกษาจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา ในแต่ละวันมีมากถึง 400 คน ย้ำว่าผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ป่วย เพียงแต่เข้ามาพูดคุยหารือกับแพทย์ถึงปัญหาที่มองไม่เห็นภายในจิตใจ แพทย์สามารถให้คำแนะนำหรือให้ยารักษาให้หายได้ สถานที่ภายในสวยงามทันสมัยไม่ได้แพ้โรงพยาบาลเอกชนหรูๆ ส่วนผู้ที่ป่วยทางจิตเวชจริงๆ ก็มีทั้งแบบไปกลับ และแบบผู้ป่วยระยะยาว มีหอพักหลายอาคาร แบ่งชายหญิง มีระบบฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชแยกแต่ละอาคาร




     มีวิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย ให้การรักษาที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การใช้'เตียงไฟฟ้า' ภายในทECT Center ราคาประมาณ 2,300 บาท ความถี่ขึ้นอยู่กับรายบุคคล ผู้ป่วยเพียงนอนหลับที่เตียง เมื่อตื่นขึ้นมาก็นอนต่อในห้องพักฟื้น




     นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า รพ. ศรีธัญญา เปิดให้บริการมานานถึง 78 ปี เพื่อให้ผู้ป่วยจิตเวชกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ตลอดจนพัฒนาระบบบริการและวิชาการด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้านจิตเวชระดับประเทศ ซึ่ง รพ.ศรีธัญญาเป็นโรงพยาบาลจิตเวชของรัฐแห่งแรกในประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งแวดล้อม ที่เป็นมิตรทุกจุดบริการ ทั้งนี้ด้วยการที่สังคมยังคงมีอคติ ต่อผู้มีปัญหาทางจิต ตราหน้าว่าเป็นผู้อ่อนแอ ล้มเหลว ดูน่ากลัว จึงยิ่งทำให้พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าเข้าสู่ระบบบริการ ตอกย้ำตราบาป ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาให้น้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริงผู้ป่วยจิตเวชเหล่านี้สามารถรักษาให้หายและกลับคืนสู่สังคมได้ สามารถประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ยิ่งเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ ได้เร็วเท่าไรยิ่งดี




     นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ ผอ.รพ.ศรีธัญญา เปิดเผยว่า ทางมูลนิธิฯ ต้องการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนที่คิดกันไปเอง ได้ยินก็กลัว ยังไม่เห็นก็เกรง ไม่รู้ว่าซ่อนเร้นอะไรอยู่ในมุมมืด ไม่มีใครกล้าเข้า ต้องคนป่วยหนักจริงๆที่เข้ามา เข้ามาแล้วทำอะไรก็ไม่รู้ อยู่กันเป็นเดือนบ้างก็อยู่เป็นปี หรือตลอดชีวิต เปรียบเหมือนเป็นแดนสนธยา ในการเปิดบ้านครั้งนี้จะทำให้คนที่สนใจ ว่าบ้านเรามีอะไรบ้างที่เป็นเรื่องของการดูแล และเอื้อเฟื้อต่อสังคม ครั้งนี้เป็นเรื่องของแนวคิดรูปแบบใหม่ การมาตรวจสุขภาพจิตไม่ใช่เป็นบ้า แต่เป็นคนที่รู้จักดูแลตัวเอง จะได้รู้และต้องป้องกันได้ทัน 




     "นอกจากการดูแลผู้ป่วยแล้ว สภาพแวดล้อมทั่วไปก็สำคัญ ยังมีเรื่องเทคโนโลยีต่างๆในการรักษา เช่น การรักษาด้วยไฟฟ้าซึ่งสมัยก่อนก็เป็นที่น่าเกลียดน่ากลัว ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ทันสมัย มีการดมยาสลบเพื่อความปลอดภัย และได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆตามลำดับ ทั้งยังมีศูนย์ฝึกซ้อมการช่วยคืนชีวิต ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูผู้ป่วย โรงพยาบาลศรีธัญญาเป็นโรงพยาบาลที่ท่านสามารถเข้ามาได้ตลอด เข้ามาพูดมาคุย มาขอคำปรึกษา ไม่จำเป็นต้องป่วย"ผอ.รพ.ศรีธัญญา กล่าว




     นายนิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง ในฐานะที่ปรึกษามูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวเสริมว่า I AM FROM ศรีธัญญา เป็นจุดเริ่มตันของโครงการที่อยากให้สังคมช่วยพาคำว่า "ศรีธัญญา" ออกจากเงาแห่งมโนภาพเดิมๆ ที่มองเป็นเรื่องตลก หรือดูน่ากลัว มีแต่คนสติไม่ดี ซึ่งอยากให้มาเห็นความเป็นจริง ว่าสถานพยาบาลแห่งนี้ คือเพื่อนของผู้ไม่สบายทางจิตใจ เป็นโรงพยาบาลที่สวยงาม สะอาด ร่มรื่น อยากให้ช่วยกันพาศรีธัญญา ก้าวออกมาจากสัญลักษณ์เก่าๆ เพื่อให้คนทำงานในศรีธัญญา เดินหน้าตรงด้วยความภาคภูมิใจในงานที่ทำให้ผู้ที่ไม่สบายใจ กล้ามาปรึกษาหมอ ให้ผู้ที่เคยป่วยแล้วรักษาหาย เดินเข้าสู่สังคมได้อย่างเป็นที่ยอมรับต่อไป ซึ่งเราทุกคนสามารถช่วยได้




     สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านบริจาคเงินผ่านมูลนิธิศรีธัญญา ด้วยการซื้อเสื้อ #IAMFROMศรีธัญญา เพื่อร่วมแสดงความภาคภูมิใจ ปรับมุมมองให้เป็นบวก สร้างความเท่าเทียมทั้งผู้ป่วย ผู้มาขอคำปรึกษา บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ และบุคคลทั่วไป ราคา 350 บาท มีสีดำ น้ำเงิน และขาว สั่งซื้อได้ที่ เพจมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา ทั้งนี้คาดการณ์ไว้ว่า ในผู้คนที่เดินมาด้วยกัน 5 คน จะมีผู้ป่วยทางจิตเวช 1 คน แถมไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ จึงอยากชวนอีก 4 คน เปิดใจและใส่ใจช่วยเหลือต่อไป



อภิสุข เวทยวิศิษฏ์