วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

'ยางรถ' ของคุณพร้อมเดินทางหรือยัง




     อุบัติเหตุรุนแรงบนท้องถนนที่เกิดจาก "รถเสียหลัก" มีจำนวนไม่น้อยที่มีสาเหตุมาจาก "ยางรถ"เพราะยางรถคือหน้าสัมผัสกับถนน เพียงชั่วพริบตาที่ยางมีปัญหา คนขับจะไม่สามารถควบคุมรถได้ ทำให้รถพุ่งชนหรือพลิกตะแคงแบบไม่มีทิศทาง อุบัติเหตุมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ขับรถควรต้องใส่ใจยางรถอยู่เป็นประจำ




1. ใช้ยางรถมีคุณภาพ มาตรฐาน


     ประหยัดอะไรก็ได้ แต่ขออย่าตีราคาความปลอดภัยไว้ต่ำ ยางรถถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมากด้านความปลอดภัย เจ้าของรถควรเลือกใช้ยางรถที่มีคุณภาพและมาตรฐาน มีเจ้าของรถจำนวนไม่น้อยเลือกซื้อ"ยางเปอร์เซ็นต์" เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ทั้งที่จริงยางเหล่านี้เหลืออายุการใช้งานอีกไม่มาก ใช้ได้ไม่นานก็ต้องเสียเงินซื้อใหม่ แต่มักพบการฝืนใช้ต่อไปจนสุดท้ายเกิดอุบัติเหตุทั้งจากหน้าสัมผัสเกาะถนนได้ไม่ดีพอ ไปจนถึงยางฉีกขาด





2. อายุของยางรถยนต์


     หลายคนเข้าไปซื้อยางรถโดยบอกคนขายว่า 'เอายางใหม่' ทั้งที่จริงยางมือ 1 ก็คือยางใหม่ทั้งหมดนั่นแหละ ยิ่งร้านยางใหญ่ๆก็มักจะมีการหมุนเวียนยาง เดี๋ยวก็ 1 แถม 1 , 3 แถม 1 ว่ากันไป แทบจะไม่มีโอกาสได้ยางเก่าหมดอายุเลย สิ่งที่ควรจะดูคือ ตัวเลข 4 หลัก ที่แสดงสัปดาห์และปีผลิต เช่น 0517 หมายถึง สัปดาห์ที่ 5 ของปี 2017 เป็นต้น ให้เลือกซื้อที่ผลิตภายใน 1 – 2 ปี ประสิทธิภาพที่ได้ไม่ต่างกัน เพราะยางถูกผลิตให้มีอายุนานถึง 10 ปี แต่ถ้าเริ่มใช้งานแล้วจะเริ่มมีการสึกหรอ ใช้งานได้ประมาณ 4-5 ปี ก็ต้องเปลี่ยน




3. ดอกยางรถยนต์


     ลวดลายของดอกยางรถยนต์จะแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีของผู้ผลิต แต่สิ่งที่เจ้าของรถต้องดูคือ ความลึกของดอกยาง ยางใหม่จะมีความลึก 8 - 9 มม. เมื่อใช้งานไปจะค่อยๆสึกหรอ ไม่ควรให้ต่ำกว่า 3 มม. เปรียบเทียบคือ หากคุณใช้ไม้ขีดไฟ ทิ่มลงไปวัด ถ้ายังเห็นหัวไม้ขีดสีแดง หมายความว่าดอกยางคุณเหลือน้อยเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตามยางทุกเส้นจะมี"สะพานยาง" หากเหลือความลึกจากสะพานยาง 1.6 มม. ซึ่งแทบจะมองไม่ออก แปลว่าไม่เหลือความลึกเลย คุณต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่เพื่อความปลอดภัยโดยด่วน !




Cr.khaorot


4. การสลับยาง 


     ถกเถียงกันมามากว่าควรสลับหรือไม่ ต้องเข้าใจก่อนว่าการสลับยาง ก็เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น โดยทั่วไปยางคู่หน้าจะสึกมากกว่าคู่หลัง เนื่องจากต้องรับแรงบด เลี้ยว และเบรคมากกว่าคู่หลัง ร้านยางจึงแนะนำให้สลับยางตามความเหมาะสมของแต่ละคันทุก 10,000 กม. เป็นการกระจายความสึกของดอกยางให้เท่าๆกัน แต่ในยางประเภทที่มีดอกยางเฉพาะ หรือรถสปอร์ตบางคันที่ออกแบบให้ใช้ขนาดยางหน้าหลังไม่เท่ากัน จะไม่สามารถสลับได้ และไม่จำเป็นต้องสลับ ควรปรึกษาควบคู่กับร้านยางของคุณด้วย




5. ตรวจเช็คแรงดันลมยาง


     ไม่ว่าจะลมธรรมดา หรือลมไนโตรเจน ควรตรวจเช็คอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ให้ลมยางอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของขนาดล้อ ถ้ารถที่มาตรฐานโรงงานให้ดูได้จากข้างประตูรถด้านคนขับ แต่ถ้าใครดัดแปลงขนาดล้อ ขนาดยาง และช่วงล่างมา ก็ควรปรึกษาร้านยางของคุณ หรือหากต้องการคำนวณคร่าวๆ ก็คูณ 2 เข้าไป เช่น ขนาดล้อ 15 นิ้ว ก็เติมลมสัก 30 PSI บวกลบได้นิดหน่อย 1-2 PSI ส่วนรถปิดอัพที่มีขนาดยางใหญ่ๆ ต้องคำนึงถึงขนาดบรรทุกด้วย ทั้งนี้ไม่ควรเติมลมยางในขณะที่ยางมีอุณหภูมิสูง อากาศร้อน หรือผ่านการวิ่งมาใหม่ๆ เนื่องจากความร้อนจะทำให้อากาศขยายตัว ทำให้ได้ค่าไม่เสถียร




Cr.kaijeaw


     ทั้งนี้อย่าลืมที่จะตรวจยางอะไหล่ของคุณให้พร้อมใช้งานเช่นเดียวกัน และควรศึกษาวิธีการเปลี่ยนไว้บ้าง เพราะเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นได้เสมอ


DJ อภิสุข เวทยวิศิษฏ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น